Keeping
ทุกอย่างดูสงบลงหลังจากแคปได้หลับไปเพราะฤทธิ์ยา ผู้เฒ่าที่แวะเข้ามาดูอาการอยู่เป็นระยะ
ตาสีขุ่นมองดูกรงเล็บที่ยังฝังคาอยู่กลางแผ่นหลังที่เปิดเปลือยเปล่า ยังถือว่าเป็นเรื่องโชคดีได้หรือไม่
ที่เล็บไม่ได้ฝังลงลึกและโดนจุดสำคัญ
การโจมตีเหยื่อเช่นนี้มีอยู่เผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น การต่อสู้คงรุนแรงมากถึงขั้นถอดเล็บของมันออกมาได้
เจ้านกตัวนั้นก็คงสิ้นฤทธิ์ไปเหมือนกันเพราะขาดอวัยวะสำคัญไป แต่จะคุ้มกันหรือที่ต้องแลกมาด้วยความเป็นความตาย
ผู้เฒ่านั่งมองร่างที่หลับใหลด้วยใจที่เป็นกังวล นึกถึงสูทหนาตัวนั้นที่ชุ่มไปด้วยเลือด
จนตอนนี้กลิ่นคาวคลุ้งยังฟุ้งกระจายตอกย้ำความรุนแรงจากบาดแผล แคปจงใจใช้มันปกปิดร่องรอยจากสายตาทุกคน
แต่สุดท้ายกลับเป็นร่างกายที่ไม่อาจต้านทานจนแสดงผลของความเจ็บออกมา
“เราเป็นเจ้าเผ่านะ จะอ่อนแอต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร”
“สิ่งมีชีวิต มีเจ็บมีปวดเป็นเรื่องธรรมดา ..หนักไปก็วางมันลงเสียเถอะ..”
“ผู้เฒ่าก็รู้ เรายังหลับไม่ลงหรอก ตราบใดที่เผ่าอีกายังไม่ยิ่งใหญ่”
ผู้เฒ่าได้แต่ทอดถอนใจกับสิ่งที่ได้ยิน ตั้งแต่เข้ามารับช่วงต่ออำนาจ แคปโดนบางสิ่งกัดกินจิตใจไปทีละน้อย
ไม่ใช่พิษภัยจากศัตรู.. แต่มันคือความรู้สึกข้างในตัวเอง
ความรู้สึกถึงสิ่งที่ต้อรับผิดชอบ
..กับความเป็นตัวตนที่สูญเสียไป
“ก็น่าจะพอได้แล้ว..”
ชายชราลอบถอนหายใจอีกครั้ง เอื้อนเอ่ยถ้อยคำอยู่ข้างกายที่กำลังหลับใหล
วนเวียนคำถามในใจที่ไม่เคยคิดหาคำตอบ แคปคงมีแรงจูงใจอะไรบางอย่างถึงขั้นยอมทุ่มเทตัวเองขนาดนี้
. . .
“ผู้เฒ่าว่าจะใช่พวกเดียวมันหรือไม่”
“สันดานเหยี่ยวก็คือนักล่า ยิ่งถูกลบคมหรือทำให้เสียหน้า
เลือดนักล่าก็ยิ่งส่งกลิ่นแรง ความกระหายในชัยชนะทำให้กฎเกณฑ์ไม่เป็นกฎเกณฑ์ ยิ่งคนโดนจู่โจมเป็นชอนจีแค่นี้ก็รู้ได้ไม่ยาก”
“ชอนจี..?”
ซังฮยอกย้ำถาม
“ใช่... พวกมันอาจจะยังผูกใจเจ็บกับเรื่องครั้งก่อน
แต่ถ้าเอาคืนกับชางโจโดยตรง คงกลัวว่าผลจะออกเป็นเช่นเดิม สู้เล่นงานกับคนใดคนหนึ่งเพื่อหวังจะหยามหน้าเจ้าเผ่าที่ไม่สามารถปกป้องบริวารของตนเองได้เสียดีกว่า
อีกอย่าง.. ชอนจีเคยถูกพวกมันทำร้ายจนปางตาย
มันจึงดูออกว่าชอนจีไม่ได้ถูกฝึกมาให้ต่อสู้
ยิ่งรู้ว่าชอนจีเป็นคนของเผ่าเราด้วยแล้ว ทุกอย่างก็เข้าทางพวกมัน”
“คนของเราจำกลิ่นพวกมันได้ แต่ที่หน้าตกใจกว่า.. ทั้งกลิ่นและร่องรอยยังชัดเจนอยู่นอกกำแพงเคหาสน์
แสดงว่าพวกมันคอยสังเกตการณ์เฝ้าดูมาสักระยะหนึ่ง โดยที่พวกเราไม่รู้ตัวกันเลยด้วยซ้ำ
ถือเป็นความหละหลวมอย่างมากในการดูแลความปลอดภัย
หากแคปรู้เรื่องนี้ก็คงจะยิ่งเป็นกังวล เพราะตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นกันอยู่”
“ทุเรศสิ้นดี!”
ซังฮยอกหลุดคำอย่างมีโทสะ
ชายชราเว้นจังหวะถอนหายใจ รู้สึกว่าคนที่หลับใหลเริ่มขยับ จึงส่งสัญญาณให้ซังฮยอกห่างออกมาและเปลี่ยนที่คุยเป็นโซฟาใหญ่ที่มุมริมหน้าต่าง
“อย่าได้ถามหาเกียรติหรือศักดิ์ศรีกับคนพวกนี้เลย”
ผู้เฒ่าว่าเสียงเรียบต่อไป
“โดนถอดกรงเล็บออกมาแบบนั้นคงเจ็บหนักไม่เบาเหมือนกัน หากเป็นพวกที่เคยมีเรื่องกับชางโจจริงๆ
ก็เท่ากับเป็นการประกาศสงครามระหว่างเผ่าย่อมๆนี่เอง แคปยังเจ็บหนักขนาดนี้
หากว่าจะต้องปะทะกันอีกครั้งจริงๆ พวกเราจะรับมือไหวหรือ”
ฝ่ายนั้นเองก็เป็นถึงนกเหยี่ยวชั้นผู้นำที่ทั้งแคปและชางโจต่างเคยฝังความแค้นไว้
คงไม่ยอมปล่อยผ่านโดยที่ยังไม่ได้ชำระความอย่างแน่นอน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมใคร
แต่ซังฮยอกมองว่าเผ่าอีกากำลังเป็นรองนั้น ..จึงหวั่นใจถึงภัยที่อาจจะเกิด
“พวกเราต่างจากเดรัจฉานตรงที่เรายังมีสามัญสำนึก อาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง
แต่พวกเลือดผสมยังอยู่ร่วมกันภายใต้สนธิสัญญาที่รุ่นก่อนๆได้วางข้อตกลงกันไว้ มันยังพอมีทางยุติข้อขัดแย้งนี้โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ”
ผู้เฒ่าว่าอย่างใจเย็น
“แต่หากวันหนึ่งจะต้องตาย พวกเราก็ต้องตายอย่างมีค่า
ตายเพราะการเสียสละ ตายเพื่อปกป้องพวกพ้อง ตายเพื่อรักษาเผ่าให้ยังคงอยู่ พวกเราไม่เคยทำร้ายใครหากไม่จำเป็น
ไม่เคยรุกรานหรือเอาเปรียบ และ..บรรพบุรุษไม่เคยสอนให้พวกเราดูถูกตัวเอง!”
ชายชราว่าต่อและทิ้งประโยคสุดท้ายไว้เตือนสติ
ทุกคำที่ได้ยินเป็นสิ่งที่ถูกพร่ำสอนตั้งแต่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
ถึงจะไม่ใช่คำตอบของความกังวลใจ แต่มันช่วยย้ำให้เขาได้ระลึกและพร้อมจะสู้กับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น
ภาพร่างกายอันบอบช้ำยังย้ำให้เกิดคำถาม
“อาการของแคปดูจะสาหัสกว่าทุกครั้ง ชางโจเองก็คิดเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไหมที่จะมีปัจจัยอื่นมาทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปอีก”
ความพอเหมาะพอเจาะในสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ากับปริศนาแห่งตำนานจึงถูกจับจ้องเป็นธรรมดา
..ไม่มีใครผิดหากจะคิดเช่นนั้น
“ทุกอย่างมีเหตุผลอยู่ในตัวมัน
..เราฝากดูแลชอนจีด้วย”
เขายังไม่มีหน้าที่ตอบข้อสงสัยนั้น.. ตาสีขุ่นมองผ่านกรอบหน้าต่างไปยังสวนที่มีชายหนุ่มร่างบางนั่งห่อตัวคุดคู้อยู่เพียงลำพัง
ความหม่นเศร้าแผ่ปกคลุมอยู่รอบตัว คงเพราะเสียขวัญจากสถานการณ์ที่เข้าใจไปว่าตัวเองได้เป็นต้นเหตุ
และกำลังตอกย้ำความรู้สึกผิดเหล่านั้นแต่ผู้เดียว
“เราจะทำให้ดีที่สุด”
ซังฮยอกรับรู้และยินดีปฏิบัติในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
“ตามหมอคังโฮมาให้เราด้วย”
ซังฮยอกโค้งรับและเลือกที่จะออกมาจากห้องเงียบๆ
.
.
.
หลังบานประตู มีชายหนุ่มที่ยังคงร้อนรุมเพราะความโกรธแค้น สิ่งที่เขาควรทำก็คือ
ต้องให้ชางโจเข้าใจในสถานการณ์ครั้งนี้
ก๊อก ก็อก
‘ เราเอง ’
ชางโจนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยอมลุกไปปลดล็อคประตู
“ยังไม่นอนใช่ไหม”
บานประตูยังคงถูกเปิดทิ้งไว้แทนคำอนุญาต ชางโจเดินนำเข้ามาแล้วทิ้งตัวลงที่นอนเหมือนคนอ่อนแรง
เป็นซังฮยอกเสียเองที่กลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียดื้อๆ
เมื่อภาพและความรู้สึกที่ร่างกายกำลังจะโดนลุกล้ำบนผืนที่นอนนุ่มนี้ได้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไร..?”
ชางโจถามส่งๆกับท่าทางชวนอึดอัด
ตาสีน้ำตาลเข้มกระพริบตาถี่ๆ สะบัดหน้าปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง
ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องตัวเอง มีบางอย่างสำคัญกว่านั้น..
“แคปเป็นอย่างไรบ้าง”
ชางโจถามขึ้นหลังจากประตูบานนั้นปิดลงอีกครั้ง
“หลับไปแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่..”
ซังฮยอกบอกเพียงคร่าวๆ
“พี่จะไม่เป็นไรใช่ไหม..”
ระยะหลังมาไม่บ่อยครั้งนักที่ชางโจจะนึกเรียกสรรพนามแทนชื่อ
เหมือนว่าแววตาแห่งความกังวลของซังฮยอกได้เป็นตัวกระตุ้นเตือนความรู้สึกบางอย่าง
“เราก็หวังอย่างนั้น ผู้เฒ่ากำลังรอดูอาการอยู่”
การพูดจาคลุมเครือมันไม่ใช่วิสัยของเขาเลย แต่ถ้าหากบอกอะไรมากไปแล้วชางโจเกิดฉุนเฉียวขึ้นมา
ก็คงจะไม่ทันได้พูดอะไรที่ตั้งใจไว้
“เหอะ! คนของแคปหายหัวไปไหนเสียล่ะ หรือรู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุก็เลยอับอาย..หนีหายไปเสียแล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดี”
แม้จะพูดไป แต่ชางโจกลับไม่ได้มีสีหน้าพอใจอย่างในคำพูด เขามีสิทธิ์ที่จะเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าใคร
แล้วมันจะผิดอะไรในเมื่อสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง
“มีบางเรื่องที่นายต้องรู้..”
“...”
ซังฮยอกไม่ได้ดุว่าเหมือนอย่างทุกครั้งที่เขาพูดถึงชอนจีในทางที่ไม่ดีนัก
แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าท่าทีแบบนั้นมันดูไม่ปกติเอาเสียเลย
สีหน้าแห่งความกังวลบนท่าทีที่จริงจัง
..กำลังปั่นป่วนความคิดบางอย่างของชางโจ
.
.
.
“คงเพราะฤทธิ์บาดแผลเลยทำให้มีไข้ร่วมด้วย กรณีนี้.. การเอาเล็บออกก็เท่ากับยิ่งเปิดปากแผล
เสี่ยงต่อการเสียเลือดมากขึ้นไปอีก ซึ่งตอนนี้เราว่าร่างกายเขายังไม่พร้อม”
ในเวลาดึกสงัดเช่นนี้ นอกจากบริวารที่อยู่เฝ้าเวรยาม
ก็มีเพียงผู้เฒ่าเท่านั้นที่อยู่รับแขก การพบกันของหมอและคนไข้นอกสถานที่และนอกตารางนัดหมาย
“อาการเดิมก็มีทีท่าจะกำเริบมาก่อนหน้านี้แล้ว
การได้รับบาดเจ็บก็เท่ากับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ร่างกายสาหัสขึ้น ทั้งที่คนไข้เข้าใจเรื่องนี้ดีแท้ๆ
แต่ก็ยัง..”
คังโฮหมอประจำตัวแคป ละคำพูดไว้เพราะรู้ว่าผู้เฒ่าก็เข้าใจตรงกัน
“แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ ก็เสี่ยงที่จะอาการทรุดลงได้เหมือนกัน”
ผู้เฒ่าว่าขัด
“ตอนนี้เราทำได้แค่ให้ยาปฏิชีวนะประคองอาการไว้ แต่การใช้ยาที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นไปจะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อคนไข้เอง
เจ้าเผ่าจะใช้ร่างกายหนักหนาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มันอันตรายเกินไป”
คังโฮเอ่ยอย่างลำบากใจ
“ ...ได้โปรดเถอะ... ถ้าแคปได้สติก็คงขอร้องหมอแบบนี้เช่นกัน
เด็กคนนี้มีเป้าหมายชัดเจน และจะมุ่งมั่นทำทุกอย่างจนกว่าจะสำเร็จ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร
หรือเสี่ยงแค่ไหน”
พรึบ!
“ผู้เฒ่า!”
ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงตามชายชราที่ลงทุนคุกเข่า
“ขอร้องเถอะ ทำอย่างไรก็ได้
อย่างน้อย..ขอให้เขาได้มีโอกาสเลือกด้วยตัวเขาเองอีกสักครั้ง”
คนถูกร้องขอเองก็รู้สึกหนักใจไม่ต่างกัน
“ต่อให้เอาปืนมาจ่อหัวเราก็ทำตามคำขอไม่ได้ ..มันผิดจรรยาบรรณ”
ลำแขนเรียวจับประคองร่างชราให้ได้ทรงตัวขึ้นอย่างสุภาพ
เขาเองก็ปวดใจไม่น้อยไปกว่า การได้มาเป็นหมอในตระกูลของสหายรักอย่างเจ้าเผ่าคนก่อน
ทำให้รู้เห็นและเข้าใจความเป็นมาโดยตลอด
สองพี่น้อง..ก็เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เขารู้จักร่างกายของแคปพอๆกับที่แคปรู้จักร่างกายตัวเอง
แววตานั้นไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่มใหญ่
“แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางอื่น..”
ราวกับหญ้าแห้งได้ฝน ตาสีขุ่นของผู้เฒ่าดูมีประกายของความหวังขึ้นมา
“มีคนหนึ่งที่อยากให้ไปหา เอ่ยอ้างชื่อเราแล้วพาเขามาเจอเจ้าเผ่าที่นี่
หลังจากนั้นท่านก็จะรู้เอง”
หนทางแม้จะยังไม่แจ่มชัด ขอแค่มีแสงสว่างรำไร ..แค่นั้นก็พอ
.
.
.
เพียงเพราะอารมณ์ ความอวดดี และความคะนอง
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุของมัน ไม่ใช่คำสาปหรือเรื่องปรัมปราที่จับต้องไม่ได้
เขารู้สึกเสียใจและโกรธโทษตัวเองยิ่งกว่าทุกครั้ง คนที่สมควรจะโดนตอกหน้าว่าเห็นแก่ตัว
คนที่ต้องรู้สึกผิดและอับอาย..ควรจะเป็นเขามากกว่า คนที่กำลังนำพาหายนะมาสู่เผ่าก็คือเขาเช่นกัน
และคนที่ทำให้พี่ชายต้องมารับเคราะห์แทนนั้น ..ทุกอย่างเป็นเกิดขึ้นเพราะเขาทั้งสิ้น
ตาคมของผู้ที่อ่อนวัยกว่ามองร่องรอยบาดแผลที่ปรากฏอยู่บนร่างกายที่นอนหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
แคปดูอ่อนล้าและอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นใครสักคนที่เคยรู้จัก ความรู้สึกที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น
..แตกต่างไม่คุ้นเคย
และเขากำลัง...กลัว
กริ๊ก!
“อ๊ะ! ขอโทษ.. เราไม่รู้ว่า..”
“มะ..มี อะไร ?”
ชางโจถึงกับผวา ไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากะทันหันเช่นนี้ อีกคนก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ขอบตาที่บวมแดงย้ำชัดให้ยิ่งรู้สึกผิด ..ทั้งในการกระทำและคำพูด
“ผู้เฒ่าให้เรา..มาเก็บของ ..ไม่รู้ว่านายอยู่ ..เลย ..ไม่ได้เคาะประตู”
แค่เห็นหน้า..ก็ร้าวลำคอขึ้นมาแล้ว ชอนจีต้องพยายามคุมเสียงให้นิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร
แม้จะดูสงบลงแล้ว แต่การได้เจอหน้ากันตรงๆแบบนี้อาจทำให้อารมณ์โหมลุกขึ้นมาก็เป็นได้
“ใครจะไปไหน..?!”
ความสงสัยปนระแวงทำให้เขาหลุดถามในทันที ความกลัวในใจ ทำให้ทุกอย่างดูกวัดแกว่งไปหมด
..เวลาแบบนี้ยังคิดจะพาแคปไปไหนอีก
ทำไมผู้เฒ่าไม่คิดจะบอกอะไร
หรือเขากลายเป็นคนผิดจนหมดความสำคัญต่อเผ่าไปเสียแล้ว
“เรา..จะไปอยู่ห้องข้างๆ..ชั่วคราว เพื่อที่..เจ้าเผ่า..จะได้รับการรักษา..และพักผ่อน..ได้เต็มที่”
ริมฝีปากสั่นระริกยิ่งกว่าเดิม เสียงเข้มยิ่งทำให้ควบคุมตัวเองได้ยาก
ห้องข้างๆในความหมายของชอนจีคงเป็นห้องเก่าของแคปที่ปิดเอาไว้เฉยๆ ชางโจรู้สึกโล่งใจในทันทีที่เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
แต่ก็อดก่นว่าในความคิดของตัวเองไม่ได้
เวลาแบบนี้ยังจะมีกะจิตกะใจเห็นแก่ตัวอยู่อีก
“..เชิญเถอะ”
ชางโจปรับน้ำเสียงที่คิดว่ามันน่าจะสุภาพที่สุด ถึงสีหน้าจะไม่สู้ดีนัก
เพราะยิ่งเห็นความหวาดกลัวในแววตากลมนั้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความบกพร่องของตัวเองมากขึ้นเท่ากัน
...
ชอนจีรีบจัดการกับข้าวของจำนวนน้อยชิ้นจนเสร็จสิ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที
อย่าเพิ่งมานึกถึงความเป็นระเบียบอะไรตอนนี้เลย
แค่ได้ออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุดเป็นพอ
ประตูบานเล็กค่อยๆแง้มออกอีกครั้ง ชางโจก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิม..ที่เดิม
เขาไม่รู้ว่าควรทักทายบอกลาเป็นทางการอีกครั้ง
หรือควรเดินเลี่ยงออกมาอย่างเงียบที่สุด
“...”
“กำลังจะออกไปแล้ว..”
สายตาเรียบเฉยที่มองมาช่วยให้เขาตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น ปากอิ่มเอ่ยคำลาตามมารยาท
ก่อนกึ่งเดินกึ่งย่องไปทางประตูบานใหญ่
“นาย.. ”
“...”
“ได้คุยอะไรกับซังฮยอกบ้างหรือยัง”
ใบหน้าเรียวส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธ เป็นการแสดงออกทางภาษากายไปโดยอัตโนมัติ
การได้ ‘พูดคุย’ กับซังฮยอกจะสำคัญอย่างไรชอนจีไม่ได้นึกถึง ใจคิดแค่อยากจะออกไปให้พ้นจากความกดดันตรงหน้าโดยเร็ว
...
ประตูบานใหญ่ปิดตัวลงไปอีกครั้ง
ชางโจอยากเปิดใจให้กับเพื่อนคนใหม่อีกครั้ง
แต่ความละอายทำให้ขี้ขลาดเกินกว่าจะกล่าวคำ ‘ขอโทษ’
.
.
.
เหมือนเช่นทุกวันที่ตื่นมาในเวลาเกือบรุ่งสาง หรือเช้านี้น่าจะเร็วกว่าสักหน่อย
ทั้งที่เพิ่งได้พบหน้าหลานรัก แต่ใจคอมันกลับไม่สุขสงบอย่างที่ควรจะเป็น
การจะข่มตาให้หลับไหลจึงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจในรัตติกาลที่ผ่านมา
หญิงชราลุกจากฟูกเพื่อทำกิจวัตรเหมือนในทุกๆวัน หลังจากล้างหน้าล้างตา
ก็ไปก่อฟื้นเพื่อต้มน้ำเตรียมไว้ชงชาสำหรับเปิดร้าน ใบชาหลายสีหลากกลิ่นถูกเติมลงในพาชนะบรรจุเมื่อมันเริ่มพร่อง
มือเหี่ยวย่นหยิบถ้วยชาขึ้นมาที่ละใบ
ใช้ผ้าขาวบางเช็ดแล้วคว่ำเรียงใส่ในภาชนะอีกอันอย่างเป็นระเบียบ
ปัง ปัง
‘ แม่เฒ่า! ’
ได้ยินเสียงแว่วมาจากประตูด้านหน้า
“ใครมาเอาป่านนี้..”
หญิงชราเดินบ่นอุบอย่างขัดใจ
“ร้านยังไม่เปิด.. ไว้กลับมาใหม่แล้วกัน!”
หญิงชราตะโกนใส่ประตู ดังพอจะได้ยินไปถึงคนที่อยู่อีกด้าน
‘ หมอคังโฮให้พวกเรามารับ ’
“...”
ชื่อที่ไม่ได้ยินมาเสียนาน นานจนเกือบลืมไปแล้ว
. . .
หญิงชราดูจะไม่คุ้นเคยกันสถานที่ใหญ่โตรโหฐานเช่นนี้เท่าไหร่ สอดส่ายหูตาอย่างคนหวาดระแวง
“เราเอาหัวเป็นประกันว่าท่านจะปลอดภัย..”
“ขอต้อนรับ เราเป็นผู้อาวุโสของที่นี่”
ผู้เฒ่าเอ่ยรับการมาเยือนด้วยสีหน้าเป็นมิตรเพื่อให้หญิงชราได้คลายกังวล
ก่อนผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปสู่เคหาสน์ชั้นบน
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกอย่างเบามือที่สุด มีเพียงผู้เฒ่าและหญิงชราเท่านั้นที่ได้เข้าไปภายใน
“หมอคังโฮล่ะ”
เมื่อไม่เห็นคนที่คิดว่าจะได้เจอ หญิงชราจึงออกปากถาม
“เขาคิดว่าท่านคงสะดวกใจมากกว่าหากว่าเขาไม่อยู่”
ซึ่งก็จริงอย่างที่ชายชราพูด
แม้จะมีบุญคุณยิ่งใหญ่แต่ก็ยังมีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกัน การไม่เผชิญหน้าอาจทำให้รู้สึกสบายใจกว่าจริงๆ
“ท่านมีอะไรให้เรารับใช้..”
“อย่าคิดไปเช่นนั้นเลย ให้ถือว่าเราเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจะดีกว่า”
ผู้เฒ่าโน้มตัวลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ
หญิงชราเองก็แสดงความเคารพกลับด้วยทีท่าทีนอบน้อม
หูตาที่เคยฝ้าฟางเหมือนจะทำงานได้ดีกว่าปกติ เพียงหางตาเหลือบไปเห็น เธอจึงเดินเข้าไปหาจุดหมายทันที
ปลายนิ้วเล็กเรียวแตะสัมผัสจุดชีพจรช่วงหลังติ่งหูโดยไม่ทันขออนุญาตหรือบอกกล่าวใดๆ
เพียงครู่หญิงชราก็เกิดปฏิกิริยาแสดงออกทางใบหน้าอย่างไม่เก็บซ่อน ดวงตาเชยขึ้นสบกับตาสีขุ่นอีกคู่ที่มองอยู่
“ไม่ดีเอาเสียเลย..”
สีหน้าของหญิงชรากลับอธิบายได้ดียิ่งกว่าคำพูด
บาดแผลที่ปรากฏเด่นชัด กอปรกับอาการที่บ่งบอกจากจังหวะชีพจร
“เศษผงจากเล็บทำให้เลือดเป็นพิษ ปริมาณเลือดที่เหลือมีแค่ใช้ประทังลมหายใจเท่านั้น
ความเข้มข้นมีไม่มากพอจะใช้ต่อสู้กับเชื้อต่างๆ”
“...”
หญิงชรามองอาการออกราวกับตาทิพย์
“...เขาต้องถ่ายเลือดเร็วที่สุด!”
.
.
.
เพียงแค่บอกจุดประสงค์ ทุกคนก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง โถงใหญ่กลับมาเซ็งแซ่อีกครั้งในเวลาเช้าตรู่
หมอคังโฮย้อนกลับมายังเคหาสน์เพื่อสานต่อหน้าที่
ไม่ว่าจะเป็นกิจใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้ของตนแล้ว
เขาก็ยังต้องมีส่วนรับผิดชอบและดูแลจนเสร็จสิ้น และคนที่ผ่านการตรวจร่างกายจากเขาเท่านั้นจึงที่มีสิทธิ์ในให้เลือดครั้งนี้
เวลาล่วงไปจนเกือบเที่ยง ผู้ที่มีคุณสมบัติถูกแยกออกมาเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม
จำนวนที่คาดว่าจะเพียงพอแล้วในการรักษาแต่ก็ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้เขาเท่าไหร่
แคปอาจจะโชคดีอาการดีขึ้นเพียงแค่การถ่ายเลือดในครั้งแรก แต่ถ้าไม่.. ก็จำเป็นที่จะต้องมีครั้งที่สอง
สาม ..หรือมากกว่านั้นตามมา และในการถ่ายเลือดแต่ละครั้งร่างกายจะเสี่ยงต่อการบอบช้ำจะมากหรือน้อย..ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้
แต่ปัญหามันอยู่ที่ ..ใครจะมีเลือดให้มากมายขนาดนั้น การรู้จักจำกัดปริมาณบวกการคาดการณ์ถึงสภาพของคนไข้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
และนั่นก็เป็นหน้าที่สำคัญของหมออย่างเขา
เลือดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในร่างกายสำหรับมนุษย์เลือดผสม
เราจึงใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไม่เจ็บไม่ป่วยหากไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาสาหัส
การถ่ายเลือดจึงเป็นการรักษาในแบบดั้งเดิมมาแต่สมัยโบราณ
การรักษาจะเป็นไปในทิศทางควบคู่กันระหว่างความรู้ดั้งเดิมกับวิทยาการใหม่
แม่เฒ่าจะเป็นคนชี้แนวทางและบ่งบอกขั้นตอน ส่วนหมอคังโฮจะคอยเสริมในด้านอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ
. . .
ขั้นตอนการถ่ายเลือดเริ่มขึ้น หมอคังโฮและบริวารจำนวนหนึ่งลำเลียงถุงบรรจุของเหลวสีแดงข้นบางส่วนขึ้นมายังห้องนอนใหญ่
ภายในได้จัดเตรียมการรักษาไว้พร้อมแล้วเช่นกัน กลิ่นหอมอ่อนๆที่เหมือนกลิ่นของยอดหญ้าในยามเช้าอบอวลไปทั่วทั้งห้องช่วยกลบเกลื่อนกลิ่นคาวคลุ้งได้เป็นอย่างดี
“แม่เฒ่าช่างมีความรู้เรื่องพืชพรรณดีทีเดียว เราเข้าใจเหตุที่หมอคังโฮเลือกท่านมาแล้ว”
ผู้เฒ่าถึงกับออกปากชม
กลิ่นอบอวลล่องลอยออกมาให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกได้สัมผัสความสดชื่นนั้นได้
น่าทึ่งนักที่หญิงชราธรรมดาคนหนึ่ง จะมีความรู้และเชี่ยวชาญในใช้พืชพรรณและสมุนไพรได้ดีขนาดนี้
แค่ใบไม้ในสวนที่ไม่มีใครใส่ใจในคุณสมบัติของมัน
กับของหาง่ายใกล้ๆตัวอีกไม่กี่อย่าง กลับได้เป็นน้ำปรุงกลิ่นแปลกใหม่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนคนไข้เองก็ดูจะยังหลับลึกแม้จะหมดฤทธิ์ยาไปแล้ว
“ห้องนั้นมีแต่กลิ่นน้ำปรุงประหลาดๆ หายใจอึดอัดไปหมด
อีกอย่างกว่าจะได้ถ่ายเลือดก็คงกินเวลา เราไม่ชอบอยู่เฉยๆหรอก”
หญิงชรามองกลับไปยังประตูใหญ่บานนั้น
“แม่เฒ่าจะไม่เข้าไปดูด้วยตัวเองสักหน่อยหรือ”
ผู้เฒ่าเอ่ยถามทั้งๆที่รู้ว่าหมอคังโฮอยู่ด้านใน แค่อยากถามลองใจ เมื่อรู้สึกว่าหญิงชราพยายามที่จะหลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้าหมอคังโฮ
“ปล่อยด้านในได้เป็นหน้าที่ของหมอคังโฮไปเถอะ เขาเป็นคนมีความสามารถ
..แต่ขาดความมั่นใจ”
สีหน้าหญิงชราแลดูเปลี่ยนไป
“ท่านเป็นคนแรกเลยนะ ที่พูดถึงหมอคังโฮเช่นนี้”
ผู้เฒ่าลองหยั่งเชิง
“...”
หญิงชราไม่ได้ตอบอะไร ยิ้มจางๆค่อยๆหายไปพร้อมสายตาที่หลบเลี่ยงไปทางอื่น
.
.
.
ชอนจีสัมผัสได้ถึงความหอมที่เล็ดลอดเข้ามาในห้อง จิตใจอันหม่นเศร้าก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นราวปาฏิหาริย์
กลิ่นพืชกลิ่นหญ้าทำให้นึกถึงคนอันเป็นที่รัก
เหมือนได้กลับไปนอนพักบนตักอุ่นๆที่แสนจะโหยหา
ก่อนประตูบานเล็กจะแง้มออกเพราะเกิดความอยากรู้ถึงที่มาของกลิ่น
จมูกเล็กเรียวสูดอากาศหอมสะอาดเข้าไปอีกเป็นการย้ำ
แน่ใจว่าคงลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งที่ไม่ไกลเกินกว่าชั้นสูงสุดของเคหาสน์นี้
ตากลมเริ่มส่ายมองอย่างระวังทันทีที่มีช่องว่างประตู
จะเจอกับใครที่เดินผ่านไปมาก็ได้แต่ขออย่าให้เป็นชางโจ
ยังรู้สึกร้าวลำคอทุกครั้งที่เพียงนึกถึงชื่อนี้
“...”
ชอนจีมองเพ่งเหมือนไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
น้ำตาที่ยังคั่งค้างอาจทำให้มองเห็นอะไรผิดเพี้ยน
โลกนี้มีอะไรที่คล้าย หรือเหมือนกันโดยไม่มีเหตุผลตั้งหลายอย่าง
ผมสีดอกเลา
หลังงองุ้ม
รอยเปื้อนจากคราบชาบนเสื้อผ้า
“ชอนจี..”
..เสียง
“ย า ย . .”
-TBC-
>>> INFINITE "Back"
>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"
คุยๆ: ตั้งใจว่าจะมาให้ทันวันฮาโลวีน นี่ก็ดีใจมาอัปให้ก่อนวันนึง ไหนๆก็มีอีกาเป็นตัวเอกต้องให้เข้ากับบรรยากาศซักหน่อย
เรื่องของเรื่องคือ... เขียนค้างไว้ไม่ได้เกลาซักที (ก็แบบ..เอาที่เราสบายใจ 555) เราขายของไม่เก่งแต่อยากขาย 555 เพราะงั้นใครที่ยังรอหรือตามเข้ามาอ่าน ก็ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆนะ ^-^ เราไม่ซีเรียสเรื่องเมนท์ อยากให้อ่านกันสบายๆค่ะ ถ้าเขินหรือไม่รู้จะเมนท์อะไรก็ไม่ว่ากัน (ก็แบบ ..เอาที่คนอ่านสบายใจนั่นแหละ อิอิ) แต่..ถ้าใครใจดีเมนท์ให้ก็จะชื่นใจเป็นพิเศษ อ่ะนะ! 555 หรือถ้าใครสะดวกทวิตก็เมนชั่นมาคุยกันได้ค่ะ เราดุ!..แต่ไม่กัดค่ะ >0<
เรื่องของเรื่องคือ... เขียนค้างไว้ไม่ได้เกลาซักที (ก็แบบ..เอาที่เราสบายใจ 555) เราขายของไม่เก่งแต่อยากขาย 555 เพราะงั้นใครที่ยังรอหรือตามเข้ามาอ่าน ก็ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆนะ ^-^ เราไม่ซีเรียสเรื่องเมนท์ อยากให้อ่านกันสบายๆค่ะ ถ้าเขินหรือไม่รู้จะเมนท์อะไรก็ไม่ว่ากัน (ก็แบบ ..เอาที่คนอ่านสบายใจนั่นแหละ อิอิ) แต่..ถ้าใครใจดีเมนท์ให้ก็จะชื่นใจเป็นพิเศษ อ่ะนะ! 555 หรือถ้าใครสะดวกทวิตก็เมนชั่นมาคุยกันได้ค่ะ เราดุ!..แต่ไม่กัดค่ะ >0<
ปล. Happy Halloween. Stay Safe. ขอให้เพลิดเพลินค่ะ ^___^
สงสารแคปจังเจ็บหนักเลย แต่ก็สงสารชางด้วยคงรู้สึกผิดหนักเลยหวังว่าจี้จะหายกลัวชางนะ ส่วนยายจี้มารักษาแคปด้วยโลกกลมจัง ขอให้รักษาสำเร็จ ^^
ReplyDeleteทำไมคุณยายของชอนจีถึงกลายมาเป็นหมอแม่เฒ่าที่รักษาแคปได้ ความสัมพันธ์ของยายกับหมอคังโฮมันมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า แต่ก็แอบดีใจที่ยายหลานได้มาเจอกันในสถานที่ที่น่าจะปลอดภัยจากการโดนลอบทำร้ายแล้ว
ReplyDelete