CAN YOU SAVE ME - Part 7 -



Keeping








ทุกอย่างดูสงบลงหลังจากแคปได้หลับไปเพราะฤทธิ์ยา ผู้เฒ่าที่แวะเข้ามาดูอาการอยู่เป็นระยะ ตาสีขุ่นมองดูกรงเล็บที่ยังฝังคาอยู่กลางแผ่นหลังที่เปิดเปลือยเปล่า ยังถือว่าเป็นเรื่องโชคดีได้หรือไม่ ที่เล็บไม่ได้ฝังลงลึกและโดนจุดสำคัญ


การโจมตีเหยื่อเช่นนี้มีอยู่เผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น การต่อสู้คงรุนแรงมากถึงขั้นถอดเล็บของมันออกมาได้ เจ้านกตัวนั้นก็คงสิ้นฤทธิ์ไปเหมือนกันเพราะขาดอวัยวะสำคัญไป แต่จะคุ้มกันหรือที่ต้องแลกมาด้วยความเป็นความตาย


ผู้เฒ่านั่งมองร่างที่หลับใหลด้วยใจที่เป็นกังวล นึกถึงสูทหนาตัวนั้นที่ชุ่มไปด้วยเลือด จนตอนนี้กลิ่นคาวคลุ้งยังฟุ้งกระจายตอกย้ำความรุนแรงจากบาดแผล แคปจงใจใช้มันปกปิดร่องรอยจากสายตาทุกคน แต่สุดท้ายกลับเป็นร่างกายที่ไม่อาจต้านทานจนแสดงผลของความเจ็บออกมา


“เราเป็นเจ้าเผ่านะ จะอ่อนแอต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร”

“สิ่งมีชีวิต มีเจ็บมีปวดเป็นเรื่องธรรมดา ..หนักไปก็วางมันลงเสียเถอะ..”

“ผู้เฒ่าก็รู้ เรายังหลับไม่ลงหรอก ตราบใดที่เผ่าอีกายังไม่ยิ่งใหญ่”



ผู้เฒ่าได้แต่ทอดถอนใจกับสิ่งที่ได้ยิน ตั้งแต่เข้ามารับช่วงต่ออำนาจ แคปโดนบางสิ่งกัดกินจิตใจไปทีละน้อย ไม่ใช่พิษภัยจากศัตรู.. แต่มันคือความรู้สึกข้างในตัวเอง ความรู้สึกถึงสิ่งที่ต้อรับผิดชอบ

..กับความเป็นตัวตนที่สูญเสียไป



“ก็น่าจะพอได้แล้ว..”

ชายชราลอบถอนหายใจอีกครั้ง เอื้อนเอ่ยถ้อยคำอยู่ข้างกายที่กำลังหลับใหล วนเวียนคำถามในใจที่ไม่เคยคิดหาคำตอบ แคปคงมีแรงจูงใจอะไรบางอย่างถึงขั้นยอมทุ่มเทตัวเองขนาดนี้



.  .  .



“ผู้เฒ่าว่าจะใช่พวกเดียวมันหรือไม่”

“สันดานเหยี่ยวก็คือนักล่า ยิ่งถูกลบคมหรือทำให้เสียหน้า เลือดนักล่าก็ยิ่งส่งกลิ่นแรง ความกระหายในชัยชนะทำให้กฎเกณฑ์ไม่เป็นกฎเกณฑ์ ยิ่งคนโดนจู่โจมเป็นชอนจีแค่นี้ก็รู้ได้ไม่ยาก”

“ชอนจี..?”
ซังฮยอกย้ำถาม



“ใช่... พวกมันอาจจะยังผูกใจเจ็บกับเรื่องครั้งก่อน แต่ถ้าเอาคืนกับชางโจโดยตรง คงกลัวว่าผลจะออกเป็นเช่นเดิม สู้เล่นงานกับคนใดคนหนึ่งเพื่อหวังจะหยามหน้าเจ้าเผ่าที่ไม่สามารถปกป้องบริวารของตนเองได้เสียดีกว่า อีกอย่าง.. ชอนจีเคยถูกพวกมันทำร้ายจนปางตาย มันจึงดูออกว่าชอนจีไม่ได้ถูกฝึกมาให้ต่อสู้ ยิ่งรู้ว่าชอนจีเป็นคนของเผ่าเราด้วยแล้ว ทุกอย่างก็เข้าทางพวกมัน”

“คนของเราจำกลิ่นพวกมันได้ แต่ที่หน้าตกใจกว่า.. ทั้งกลิ่นและร่องรอยยังชัดเจนอยู่นอกกำแพงเคหาสน์ แสดงว่าพวกมันคอยสังเกตการณ์เฝ้าดูมาสักระยะหนึ่ง โดยที่พวกเราไม่รู้ตัวกันเลยด้วยซ้ำ ถือเป็นความหละหลวมอย่างมากในการดูแลความปลอดภัย หากแคปรู้เรื่องนี้ก็คงจะยิ่งเป็นกังวล เพราะตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นกันอยู่”



“ทุเรศสิ้นดี!
ซังฮยอกหลุดคำอย่างมีโทสะ



ชายชราเว้นจังหวะถอนหายใจ รู้สึกว่าคนที่หลับใหลเริ่มขยับ จึงส่งสัญญาณให้ซังฮยอกห่างออกมาและเปลี่ยนที่คุยเป็นโซฟาใหญ่ที่มุมริมหน้าต่าง


“อย่าได้ถามหาเกียรติหรือศักดิ์ศรีกับคนพวกนี้เลย”
ผู้เฒ่าว่าเสียงเรียบต่อไป


“โดนถอดกรงเล็บออกมาแบบนั้นคงเจ็บหนักไม่เบาเหมือนกัน หากเป็นพวกที่เคยมีเรื่องกับชางโจจริงๆ ก็เท่ากับเป็นการประกาศสงครามระหว่างเผ่าย่อมๆนี่เอง แคปยังเจ็บหนักขนาดนี้ หากว่าจะต้องปะทะกันอีกครั้งจริงๆ พวกเราจะรับมือไหวหรือ”


ฝ่ายนั้นเองก็เป็นถึงนกเหยี่ยวชั้นผู้นำที่ทั้งแคปและชางโจต่างเคยฝังความแค้นไว้ คงไม่ยอมปล่อยผ่านโดยที่ยังไม่ได้ชำระความอย่างแน่นอน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมใคร แต่ซังฮยอกมองว่าเผ่าอีกากำลังเป็นรองนั้น ..จึงหวั่นใจถึงภัยที่อาจจะเกิด


“พวกเราต่างจากเดรัจฉานตรงที่เรายังมีสามัญสำนึก อาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่พวกเลือดผสมยังอยู่ร่วมกันภายใต้สนธิสัญญาที่รุ่นก่อนๆได้วางข้อตกลงกันไว้ มันยังพอมีทางยุติข้อขัดแย้งนี้โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ”
ผู้เฒ่าว่าอย่างใจเย็น


“แต่หากวันหนึ่งจะต้องตาย พวกเราก็ต้องตายอย่างมีค่า ตายเพราะการเสียสละ ตายเพื่อปกป้องพวกพ้อง ตายเพื่อรักษาเผ่าให้ยังคงอยู่ พวกเราไม่เคยทำร้ายใครหากไม่จำเป็น ไม่เคยรุกรานหรือเอาเปรียบ และ..บรรพบุรุษไม่เคยสอนให้พวกเราดูถูกตัวเอง!

ชายชราว่าต่อและทิ้งประโยคสุดท้ายไว้เตือนสติ


ทุกคำที่ได้ยินเป็นสิ่งที่ถูกพร่ำสอนตั้งแต่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ถึงจะไม่ใช่คำตอบของความกังวลใจ แต่มันช่วยย้ำให้เขาได้ระลึกและพร้อมจะสู้กับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น


ภาพร่างกายอันบอบช้ำยังย้ำให้เกิดคำถาม


“อาการของแคปดูจะสาหัสกว่าทุกครั้ง ชางโจเองก็คิดเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไหมที่จะมีปัจจัยอื่นมาทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปอีก”


ความพอเหมาะพอเจาะในสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ากับปริศนาแห่งตำนานจึงถูกจับจ้องเป็นธรรมดา ..ไม่มีใครผิดหากจะคิดเช่นนั้น


“ทุกอย่างมีเหตุผลอยู่ในตัวมัน  ..เราฝากดูแลชอนจีด้วย”


เขายังไม่มีหน้าที่ตอบข้อสงสัยนั้น.. ตาสีขุ่นมองผ่านกรอบหน้าต่างไปยังสวนที่มีชายหนุ่มร่างบางนั่งห่อตัวคุดคู้อยู่เพียงลำพัง ความหม่นเศร้าแผ่ปกคลุมอยู่รอบตัว คงเพราะเสียขวัญจากสถานการณ์ที่เข้าใจไปว่าตัวเองได้เป็นต้นเหตุ และกำลังตอกย้ำความรู้สึกผิดเหล่านั้นแต่ผู้เดียว



“เราจะทำให้ดีที่สุด”

ซังฮยอกรับรู้และยินดีปฏิบัติในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย


“ตามหมอคังโฮมาให้เราด้วย”

ซังฮยอกโค้งรับและเลือกที่จะออกมาจากห้องเงียบๆ



.


.


.



หลังบานประตู มีชายหนุ่มที่ยังคงร้อนรุมเพราะความโกรธแค้น สิ่งที่เขาควรทำก็คือ ต้องให้ชางโจเข้าใจในสถานการณ์ครั้งนี้




ก๊อก ก็อก

เราเอง


ชางโจนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยอมลุกไปปลดล็อคประตู



“ยังไม่นอนใช่ไหม”

บานประตูยังคงถูกเปิดทิ้งไว้แทนคำอนุญาต ชางโจเดินนำเข้ามาแล้วทิ้งตัวลงที่นอนเหมือนคนอ่อนแรง เป็นซังฮยอกเสียเองที่กลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อภาพและความรู้สึกที่ร่างกายกำลังจะโดนลุกล้ำบนผืนที่นอนนุ่มนี้ได้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง


“เป็นอะไร..?”
ชางโจถามส่งๆกับท่าทางชวนอึดอัด


ตาสีน้ำตาลเข้มกระพริบตาถี่ๆ สะบัดหน้าปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องตัวเอง มีบางอย่างสำคัญกว่านั้น..


“แคปเป็นอย่างไรบ้าง”
ชางโจถามขึ้นหลังจากประตูบานนั้นปิดลงอีกครั้ง

“หลับไปแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่..”
ซังฮยอกบอกเพียงคร่าวๆ

“พี่จะไม่เป็นไรใช่ไหม..”
ระยะหลังมาไม่บ่อยครั้งนักที่ชางโจจะนึกเรียกสรรพนามแทนชื่อ เหมือนว่าแววตาแห่งความกังวลของซังฮยอกได้เป็นตัวกระตุ้นเตือนความรู้สึกบางอย่าง


“เราก็หวังอย่างนั้น ผู้เฒ่ากำลังรอดูอาการอยู่”
การพูดจาคลุมเครือมันไม่ใช่วิสัยของเขาเลย แต่ถ้าหากบอกอะไรมากไปแล้วชางโจเกิดฉุนเฉียวขึ้นมา ก็คงจะไม่ทันได้พูดอะไรที่ตั้งใจไว้


“เหอะ! คนของแคปหายหัวไปไหนเสียล่ะ หรือรู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุก็เลยอับอาย..หนีหายไปเสียแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดี”


แม้จะพูดไป แต่ชางโจกลับไม่ได้มีสีหน้าพอใจอย่างในคำพูด เขามีสิทธิ์ที่จะเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าใคร แล้วมันจะผิดอะไรในเมื่อสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง



“มีบางเรื่องที่นายต้องรู้..”

“...”


ซังฮยอกไม่ได้ดุว่าเหมือนอย่างทุกครั้งที่เขาพูดถึงชอนจีในทางที่ไม่ดีนัก แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าท่าทีแบบนั้นมันดูไม่ปกติเอาเสียเลย


สีหน้าแห่งความกังวลบนท่าทีที่จริงจัง ..กำลังปั่นป่วนความคิดบางอย่างของชางโจ



.


.


.



“คงเพราะฤทธิ์บาดแผลเลยทำให้มีไข้ร่วมด้วย กรณีนี้.. การเอาเล็บออกก็เท่ากับยิ่งเปิดปากแผล เสี่ยงต่อการเสียเลือดมากขึ้นไปอีก ซึ่งตอนนี้เราว่าร่างกายเขายังไม่พร้อม”


ในเวลาดึกสงัดเช่นนี้ นอกจากบริวารที่อยู่เฝ้าเวรยาม ก็มีเพียงผู้เฒ่าเท่านั้นที่อยู่รับแขก การพบกันของหมอและคนไข้นอกสถานที่และนอกตารางนัดหมาย


“อาการเดิมก็มีทีท่าจะกำเริบมาก่อนหน้านี้แล้ว การได้รับบาดเจ็บก็เท่ากับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ร่างกายสาหัสขึ้น ทั้งที่คนไข้เข้าใจเรื่องนี้ดีแท้ๆ แต่ก็ยัง..”


คังโฮหมอประจำตัวแคป ละคำพูดไว้เพราะรู้ว่าผู้เฒ่าก็เข้าใจตรงกัน


“แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ ก็เสี่ยงที่จะอาการทรุดลงได้เหมือนกัน”
ผู้เฒ่าว่าขัด


“ตอนนี้เราทำได้แค่ให้ยาปฏิชีวนะประคองอาการไว้ แต่การใช้ยาที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นไปจะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อคนไข้เอง เจ้าเผ่าจะใช้ร่างกายหนักหนาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มันอันตรายเกินไป”
คังโฮเอ่ยอย่างลำบากใจ


...ได้โปรดเถอะ...  ถ้าแคปได้สติก็คงขอร้องหมอแบบนี้เช่นกัน เด็กคนนี้มีเป้าหมายชัดเจน และจะมุ่งมั่นทำทุกอย่างจนกว่าจะสำเร็จ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร หรือเสี่ยงแค่ไหน”




พรึบ!

“ผู้เฒ่า!
ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงตามชายชราที่ลงทุนคุกเข่า


“ขอร้องเถอะ ทำอย่างไรก็ได้ อย่างน้อย..ขอให้เขาได้มีโอกาสเลือกด้วยตัวเขาเองอีกสักครั้ง”

คนถูกร้องขอเองก็รู้สึกหนักใจไม่ต่างกัน


“ต่อให้เอาปืนมาจ่อหัวเราก็ทำตามคำขอไม่ได้ ..มันผิดจรรยาบรรณ”

ลำแขนเรียวจับประคองร่างชราให้ได้ทรงตัวขึ้นอย่างสุภาพ เขาเองก็ปวดใจไม่น้อยไปกว่า การได้มาเป็นหมอในตระกูลของสหายรักอย่างเจ้าเผ่าคนก่อน ทำให้รู้เห็นและเข้าใจความเป็นมาโดยตลอด สองพี่น้อง..ก็เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เขารู้จักร่างกายของแคปพอๆกับที่แคปรู้จักร่างกายตัวเอง แววตานั้นไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่มใหญ่


“แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางอื่น..”

ราวกับหญ้าแห้งได้ฝน ตาสีขุ่นของผู้เฒ่าดูมีประกายของความหวังขึ้นมา


“มีคนหนึ่งที่อยากให้ไปหา เอ่ยอ้างชื่อเราแล้วพาเขามาเจอเจ้าเผ่าที่นี่ หลังจากนั้นท่านก็จะรู้เอง”

หนทางแม้จะยังไม่แจ่มชัด ขอแค่มีแสงสว่างรำไร ..แค่นั้นก็พอ



.


.


.



เพียงเพราะอารมณ์ ความอวดดี และความคะนอง


ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุของมัน ไม่ใช่คำสาปหรือเรื่องปรัมปราที่จับต้องไม่ได้



เขารู้สึกเสียใจและโกรธโทษตัวเองยิ่งกว่าทุกครั้ง คนที่สมควรจะโดนตอกหน้าว่าเห็นแก่ตัว คนที่ต้องรู้สึกผิดและอับอาย..ควรจะเป็นเขามากกว่า คนที่กำลังนำพาหายนะมาสู่เผ่าก็คือเขาเช่นกัน และคนที่ทำให้พี่ชายต้องมารับเคราะห์แทนนั้น  ..ทุกอย่างเป็นเกิดขึ้นเพราะเขาทั้งสิ้น


ตาคมของผู้ที่อ่อนวัยกว่ามองร่องรอยบาดแผลที่ปรากฏอยู่บนร่างกายที่นอนหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แคปดูอ่อนล้าและอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นใครสักคนที่เคยรู้จัก ความรู้สึกที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น ..แตกต่างไม่คุ้นเคย



และเขากำลัง...กลัว




กริ๊ก!

“อ๊ะ! ขอโทษ.. เราไม่รู้ว่า..”
“มะ..มี อะไร ?”

ชางโจถึงกับผวา ไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากะทันหันเช่นนี้ อีกคนก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน ขอบตาที่บวมแดงย้ำชัดให้ยิ่งรู้สึกผิด ..ทั้งในการกระทำและคำพูด


“ผู้เฒ่าให้เรา..มาเก็บของ ..ไม่รู้ว่านายอยู่ ..เลย ..ไม่ได้เคาะประตู”
แค่เห็นหน้า..ก็ร้าวลำคอขึ้นมาแล้ว ชอนจีต้องพยายามคุมเสียงให้นิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร แม้จะดูสงบลงแล้ว แต่การได้เจอหน้ากันตรงๆแบบนี้อาจทำให้อารมณ์โหมลุกขึ้นมาก็เป็นได้


“ใครจะไปไหน..?!

ความสงสัยปนระแวงทำให้เขาหลุดถามในทันที ความกลัวในใจ ทำให้ทุกอย่างดูกวัดแกว่งไปหมด ..เวลาแบบนี้ยังคิดจะพาแคปไปไหนอีก


ทำไมผู้เฒ่าไม่คิดจะบอกอะไร

หรือเขากลายเป็นคนผิดจนหมดความสำคัญต่อเผ่าไปเสียแล้ว



“เรา..จะไปอยู่ห้องข้างๆ..ชั่วคราว เพื่อที่..เจ้าเผ่า..จะได้รับการรักษา..และพักผ่อน..ได้เต็มที่”
ริมฝีปากสั่นระริกยิ่งกว่าเดิม เสียงเข้มยิ่งทำให้ควบคุมตัวเองได้ยาก


ห้องข้างๆในความหมายของชอนจีคงเป็นห้องเก่าของแคปที่ปิดเอาไว้เฉยๆ ชางโจรู้สึกโล่งใจในทันทีที่เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่ก็อดก่นว่าในความคิดของตัวเองไม่ได้


เวลาแบบนี้ยังจะมีกะจิตกะใจเห็นแก่ตัวอยู่อีก


“..เชิญเถอะ”
ชางโจปรับน้ำเสียงที่คิดว่ามันน่าจะสุภาพที่สุด ถึงสีหน้าจะไม่สู้ดีนัก เพราะยิ่งเห็นความหวาดกลัวในแววตากลมนั้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความบกพร่องของตัวเองมากขึ้นเท่ากัน


...


ชอนจีรีบจัดการกับข้าวของจำนวนน้อยชิ้นจนเสร็จสิ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที อย่าเพิ่งมานึกถึงความเป็นระเบียบอะไรตอนนี้เลย แค่ได้ออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุดเป็นพอ


ประตูบานเล็กค่อยๆแง้มออกอีกครั้ง ชางโจก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิม..ที่เดิม เขาไม่รู้ว่าควรทักทายบอกลาเป็นทางการอีกครั้ง หรือควรเดินเลี่ยงออกมาอย่างเงียบที่สุด


“...”


“กำลังจะออกไปแล้ว..”

สายตาเรียบเฉยที่มองมาช่วยให้เขาตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น ปากอิ่มเอ่ยคำลาตามมารยาท ก่อนกึ่งเดินกึ่งย่องไปทางประตูบานใหญ่


“นาย.. ”


“...”


“ได้คุยอะไรกับซังฮยอกบ้างหรือยัง”



ใบหน้าเรียวส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธ เป็นการแสดงออกทางภาษากายไปโดยอัตโนมัติ การได้พูดคุยกับซังฮยอกจะสำคัญอย่างไรชอนจีไม่ได้นึกถึง ใจคิดแค่อยากจะออกไปให้พ้นจากความกดดันตรงหน้าโดยเร็ว


...



ประตูบานใหญ่ปิดตัวลงไปอีกครั้ง


ชางโจอยากเปิดใจให้กับเพื่อนคนใหม่อีกครั้ง



แต่ความละอายทำให้ขี้ขลาดเกินกว่าจะกล่าวคำ ขอโทษ


.


.


.



เหมือนเช่นทุกวันที่ตื่นมาในเวลาเกือบรุ่งสาง หรือเช้านี้น่าจะเร็วกว่าสักหน่อย ทั้งที่เพิ่งได้พบหน้าหลานรัก แต่ใจคอมันกลับไม่สุขสงบอย่างที่ควรจะเป็น การจะข่มตาให้หลับไหลจึงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจในรัตติกาลที่ผ่านมา


หญิงชราลุกจากฟูกเพื่อทำกิจวัตรเหมือนในทุกๆวัน หลังจากล้างหน้าล้างตา ก็ไปก่อฟื้นเพื่อต้มน้ำเตรียมไว้ชงชาสำหรับเปิดร้าน ใบชาหลายสีหลากกลิ่นถูกเติมลงในพาชนะบรรจุเมื่อมันเริ่มพร่อง มือเหี่ยวย่นหยิบถ้วยชาขึ้นมาที่ละใบ ใช้ผ้าขาวบางเช็ดแล้วคว่ำเรียงใส่ในภาชนะอีกอันอย่างเป็นระเบียบ




ปัง ปัง

แม่เฒ่า! ’


ได้ยินเสียงแว่วมาจากประตูด้านหน้า


“ใครมาเอาป่านนี้..”
หญิงชราเดินบ่นอุบอย่างขัดใจ


“ร้านยังไม่เปิด.. ไว้กลับมาใหม่แล้วกัน!
หญิงชราตะโกนใส่ประตู ดังพอจะได้ยินไปถึงคนที่อยู่อีกด้าน



หมอคังโฮให้พวกเรามารับ

“...”

ชื่อที่ไม่ได้ยินมาเสียนาน นานจนเกือบลืมไปแล้ว


.  .  .


หญิงชราดูจะไม่คุ้นเคยกันสถานที่ใหญ่โตรโหฐานเช่นนี้เท่าไหร่ สอดส่ายหูตาอย่างคนหวาดระแวง


“เราเอาหัวเป็นประกันว่าท่านจะปลอดภัย..”


“ขอต้อนรับ เราเป็นผู้อาวุโสของที่นี่”


ผู้เฒ่าเอ่ยรับการมาเยือนด้วยสีหน้าเป็นมิตรเพื่อให้หญิงชราได้คลายกังวล ก่อนผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปสู่เคหาสน์ชั้นบน


ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกอย่างเบามือที่สุด มีเพียงผู้เฒ่าและหญิงชราเท่านั้นที่ได้เข้าไปภายใน


“หมอคังโฮล่ะ”
เมื่อไม่เห็นคนที่คิดว่าจะได้เจอ หญิงชราจึงออกปากถาม


“เขาคิดว่าท่านคงสะดวกใจมากกว่าหากว่าเขาไม่อยู่”


ซึ่งก็จริงอย่างที่ชายชราพูด แม้จะมีบุญคุณยิ่งใหญ่แต่ก็ยังมีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกัน การไม่เผชิญหน้าอาจทำให้รู้สึกสบายใจกว่าจริงๆ


“ท่านมีอะไรให้เรารับใช้..”
“อย่าคิดไปเช่นนั้นเลย ให้ถือว่าเราเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจะดีกว่า”
ผู้เฒ่าโน้มตัวลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ


หญิงชราเองก็แสดงความเคารพกลับด้วยทีท่าทีนอบน้อม หูตาที่เคยฝ้าฟางเหมือนจะทำงานได้ดีกว่าปกติ เพียงหางตาเหลือบไปเห็น เธอจึงเดินเข้าไปหาจุดหมายทันที


ปลายนิ้วเล็กเรียวแตะสัมผัสจุดชีพจรช่วงหลังติ่งหูโดยไม่ทันขออนุญาตหรือบอกกล่าวใดๆ เพียงครู่หญิงชราก็เกิดปฏิกิริยาแสดงออกทางใบหน้าอย่างไม่เก็บซ่อน ดวงตาเชยขึ้นสบกับตาสีขุ่นอีกคู่ที่มองอยู่


“ไม่ดีเอาเสียเลย..”
สีหน้าของหญิงชรากลับอธิบายได้ดียิ่งกว่าคำพูด


บาดแผลที่ปรากฏเด่นชัด กอปรกับอาการที่บ่งบอกจากจังหวะชีพจร

“เศษผงจากเล็บทำให้เลือดเป็นพิษ ปริมาณเลือดที่เหลือมีแค่ใช้ประทังลมหายใจเท่านั้น ความเข้มข้นมีไม่มากพอจะใช้ต่อสู้กับเชื้อต่างๆ”

“...”

หญิงชรามองอาการออกราวกับตาทิพย์


“...เขาต้องถ่ายเลือดเร็วที่สุด!



.


.


.



เพียงแค่บอกจุดประสงค์ ทุกคนก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง โถงใหญ่กลับมาเซ็งแซ่อีกครั้งในเวลาเช้าตรู่ หมอคังโฮย้อนกลับมายังเคหาสน์เพื่อสานต่อหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นกิจใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้ของตนแล้ว เขาก็ยังต้องมีส่วนรับผิดชอบและดูแลจนเสร็จสิ้น และคนที่ผ่านการตรวจร่างกายจากเขาเท่านั้นจึงที่มีสิทธิ์ในให้เลือดครั้งนี้


เวลาล่วงไปจนเกือบเที่ยง ผู้ที่มีคุณสมบัติถูกแยกออกมาเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม จำนวนที่คาดว่าจะเพียงพอแล้วในการรักษาแต่ก็ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้เขาเท่าไหร่


แคปอาจจะโชคดีอาการดีขึ้นเพียงแค่การถ่ายเลือดในครั้งแรก แต่ถ้าไม่.. ก็จำเป็นที่จะต้องมีครั้งที่สอง สาม ..หรือมากกว่านั้นตามมา และในการถ่ายเลือดแต่ละครั้งร่างกายจะเสี่ยงต่อการบอบช้ำจะมากหรือน้อย..ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ ..ใครจะมีเลือดให้มากมายขนาดนั้น การรู้จักจำกัดปริมาณบวกการคาดการณ์ถึงสภาพของคนไข้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และนั่นก็เป็นหน้าที่สำคัญของหมออย่างเขา



เลือดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในร่างกายสำหรับมนุษย์เลือดผสม

เราจึงใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไม่เจ็บไม่ป่วยหากไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาสาหัส

การถ่ายเลือดจึงเป็นการรักษาในแบบดั้งเดิมมาแต่สมัยโบราณ



การรักษาจะเป็นไปในทิศทางควบคู่กันระหว่างความรู้ดั้งเดิมกับวิทยาการใหม่ แม่เฒ่าจะเป็นคนชี้แนวทางและบ่งบอกขั้นตอน ส่วนหมอคังโฮจะคอยเสริมในด้านอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ


.  .  .


ขั้นตอนการถ่ายเลือดเริ่มขึ้น หมอคังโฮและบริวารจำนวนหนึ่งลำเลียงถุงบรรจุของเหลวสีแดงข้นบางส่วนขึ้นมายังห้องนอนใหญ่ ภายในได้จัดเตรียมการรักษาไว้พร้อมแล้วเช่นกัน กลิ่นหอมอ่อนๆที่เหมือนกลิ่นของยอดหญ้าในยามเช้าอบอวลไปทั่วทั้งห้องช่วยกลบเกลื่อนกลิ่นคาวคลุ้งได้เป็นอย่างดี


“แม่เฒ่าช่างมีความรู้เรื่องพืชพรรณดีทีเดียว เราเข้าใจเหตุที่หมอคังโฮเลือกท่านมาแล้ว”
ผู้เฒ่าถึงกับออกปากชม


กลิ่นอบอวลล่องลอยออกมาให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกได้สัมผัสความสดชื่นนั้นได้ น่าทึ่งนักที่หญิงชราธรรมดาคนหนึ่ง จะมีความรู้และเชี่ยวชาญในใช้พืชพรรณและสมุนไพรได้ดีขนาดนี้ แค่ใบไม้ในสวนที่ไม่มีใครใส่ใจในคุณสมบัติของมัน กับของหาง่ายใกล้ๆตัวอีกไม่กี่อย่าง กลับได้เป็นน้ำปรุงกลิ่นแปลกใหม่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนคนไข้เองก็ดูจะยังหลับลึกแม้จะหมดฤทธิ์ยาไปแล้ว


“ห้องนั้นมีแต่กลิ่นน้ำปรุงประหลาดๆ หายใจอึดอัดไปหมด อีกอย่างกว่าจะได้ถ่ายเลือดก็คงกินเวลา เราไม่ชอบอยู่เฉยๆหรอก”
หญิงชรามองกลับไปยังประตูใหญ่บานนั้น

“แม่เฒ่าจะไม่เข้าไปดูด้วยตัวเองสักหน่อยหรือ”
ผู้เฒ่าเอ่ยถามทั้งๆที่รู้ว่าหมอคังโฮอยู่ด้านใน แค่อยากถามลองใจ เมื่อรู้สึกว่าหญิงชราพยายามที่จะหลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้าหมอคังโฮ

“ปล่อยด้านในได้เป็นหน้าที่ของหมอคังโฮไปเถอะ เขาเป็นคนมีความสามารถ ..แต่ขาดความมั่นใจ”
สีหน้าหญิงชราแลดูเปลี่ยนไป

“ท่านเป็นคนแรกเลยนะ ที่พูดถึงหมอคังโฮเช่นนี้”
ผู้เฒ่าลองหยั่งเชิง


“...”

หญิงชราไม่ได้ตอบอะไร ยิ้มจางๆค่อยๆหายไปพร้อมสายตาที่หลบเลี่ยงไปทางอื่น


.


.


.


ชอนจีสัมผัสได้ถึงความหอมที่เล็ดลอดเข้ามาในห้อง จิตใจอันหม่นเศร้าก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นราวปาฏิหาริย์ กลิ่นพืชกลิ่นหญ้าทำให้นึกถึงคนอันเป็นที่รัก เหมือนได้กลับไปนอนพักบนตักอุ่นๆที่แสนจะโหยหา


ก่อนประตูบานเล็กจะแง้มออกเพราะเกิดความอยากรู้ถึงที่มาของกลิ่น จมูกเล็กเรียวสูดอากาศหอมสะอาดเข้าไปอีกเป็นการย้ำ แน่ใจว่าคงลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งที่ไม่ไกลเกินกว่าชั้นสูงสุดของเคหาสน์นี้


ตากลมเริ่มส่ายมองอย่างระวังทันทีที่มีช่องว่างประตู จะเจอกับใครที่เดินผ่านไปมาก็ได้แต่ขออย่าให้เป็นชางโจ ยังรู้สึกร้าวลำคอทุกครั้งที่เพียงนึกถึงชื่อนี้


“...”


ชอนจีมองเพ่งเหมือนไม่เชื่อในสายตาตัวเอง น้ำตาที่ยังคั่งค้างอาจทำให้มองเห็นอะไรผิดเพี้ยน


โลกนี้มีอะไรที่คล้าย หรือเหมือนกันโดยไม่มีเหตุผลตั้งหลายอย่าง



ผมสีดอกเลา



หลังงองุ้ม



รอยเปื้อนจากคราบชาบนเสื้อผ้า




“ชอนจี..”




..เสียง




“ย า ย . .”








-TBC-




 >>> INFINITE "Back"

>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"




           
คุยๆ:  ตั้งใจว่าจะมาให้ทันวันฮาโลวีน นี่ก็ดีใจมาอัปให้ก่อนวันนึง ไหนๆก็มีอีกาเป็นตัวเอกต้องให้เข้ากับบรรยากาศซักหน่อย 

เรื่องของเรื่องคือ... เขียนค้างไว้ไม่ได้เกลาซักที (ก็แบบ..เอาที่เราสบายใจ 555) เราขายของไม่เก่งแต่อยากขาย 555 เพราะงั้นใครที่ยังรอหรือตามเข้ามาอ่าน ก็ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆนะ ^-^ เราไม่ซีเรียสเรื่องเมนท์ อยากให้อ่านกันสบายๆค่ะ ถ้าเขินหรือไม่รู้จะเมนท์อะไรก็ไม่ว่ากัน (ก็แบบ ..เอาที่คนอ่านสบายใจนั่นแหละ อิอิ) แต่..ถ้าใครใจดีเมนท์ให้ก็จะชื่นใจเป็นพิเศษ อ่ะนะ! 555 หรือถ้าใครสะดวกทวิตก็เมนชั่นมาคุยกันได้ค่ะ เราดุ!..แต่ไม่กัดค่ะ  >0<


ปล. Happy Halloween. Stay Safe.  ขอให้เพลิดเพลินค่ะ ^___^





2 comments:

  1. สงสารแคปจังเจ็บหนักเลย แต่ก็สงสารชางด้วยคงรู้สึกผิดหนักเลยหวังว่าจี้จะหายกลัวชางนะ ส่วนยายจี้มารักษาแคปด้วยโลกกลมจัง ขอให้รักษาสำเร็จ ^^

    ReplyDelete
  2. ทำไมคุณยายของชอนจีถึงกลายมาเป็นหมอแม่เฒ่าที่รักษาแคปได้ ความสัมพันธ์ของยายกับหมอคังโฮมันมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า แต่ก็แอบดีใจที่ยายหลานได้มาเจอกันในสถานที่ที่น่าจะปลอดภัยจากการโดนลอบทำร้ายแล้ว

    ReplyDelete