Sorry
แสงที่เริ่มส่องผ่านม่านเข้ามาทีละน้อย บอกให้รู้ถึงการเข้าสู่วันใหม่
ตากลมสะลึมสะลือแต่ก็ยังให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวที่เห็น
จากเด็กที่ถูกเนรเทศพลัดถิ่น ใช้ชีวิตอย่างเดียวดาย กับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
ถ้าหากตัดคำว่าอิสรภาพไป เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างไม่มีข้อกังขา
ทั้งสุขสบายและปลอดภัย ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่หรือคุ้มครองเช่นนี้ ..นี่อาจจะเป็นจุดสูงสุดในชีวิตเขาแล้วก็ว่าได้
ชอนจีหายใจเข้าชุดใหญ่เพื่อรวบรวมสติ ถึงจะเพิ่งได้หลับไปเมื่อใกล้สางเพราะยังไม่คุ้นชินสถานที่
แต่ก็น่าแปลกที่เขาสามารถหลับลึกและหลับสนิทที่สุดในรอบหลายๆปี ทำให้เช้านี้จึงมีทั้งกำลังกายและกำลังใจมากพอที่จะตื่นขึ้นมาได้อย่างสดชื่น
ขอแค่ให้มีเหตุผลในการลืมตาตื่น ชีวิตก็ยังคงมีคุณค่า
ชอนจีลุกขึ้นจากฟูกนิ่มจัดเก็บที่นอนให้เรียบร้อย
รีบเร่งจัดการกับตัวเองจนเสร็จสรรพเพราะไม่อยากให้ช้าไปกว่าแคป ประตูเล็กแง้มออกอย่างช้าๆด้วยเกรงว่าอาจจะทำให้ใครบางคนตื่น
“...”
แต่เตียงนอนกลับว่างเปล่า เสียงน้ำจากฝักบัว ..ทำให้รู้ทันทีว่ารีบแค่ไหนก็ยังช้าไปอยู่ดี
เพื่อไม่ให้ยิ่งเสียเวลา ตากลมจึงเริ่มสอดส่องมองหาสิ่งที่น่าจะเป็นที่เก็บพวกเสื้อผ้าอาภรณ์หรืออะไรประเภทนั้น
“ทำอะไร..?”
เสียงจากสายฝักบัวเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันสังเกต เขาเผลอสะดุ้งตกใจที่อยู่ๆก็มีเสียงจากด้านหลังที่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ช่วงตัว
ร่างบางกลับตัวเพื่อจะหันไปตอบ กลับเห็นเพียงแผ่นหลังที่โชว์อวดลวดลายเหมือนแคปไม่ได้ใส่ใจจะถามเอาคำตอบ
ร่างสูงใหญ่ของผู้นำเผ่าที่มีแค่เสื้อกล้ามสีดำและผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ปกปิด ภาพผู้นำของเผ่ากับอริบทที่แสนจะเป็นส่วนตัว
มือหนาจัดการเทอาฟเตอร์เชฟลงฝ่ามือก่อนยกขึ้นตบแก้มเบาๆ
ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะอาการแสบร้อน
“สงสัยมีดโกนจะไม่คม เอ.. เปลี่ยนเป็นเครื่องโกนหนวดดีหรือเปล่า อืม..
แต่ใช้แล้วหน้ามันสากๆพิกล..”
ขวดแก้วสีน้ำเงินใสหน้ากระจกข้างเตียงถูกหยิบขึ้นมาฉีกพรมตามจุดบนร่างกาย
ตาเรียวเพ่งมองขวดใสในมือเมื่อรู้สึกถึงละอองที่ขาดๆหายๆ
“ลองเป็นกลิ่นดูบ้างจะดีหรือเปล่า แต่กลิ่นนี้ก็หอมดีอยู่แล้ว”
ขวดแก้วถูกจับวางลงที่เดิมอีกครั้ง
ชอนจีมองดูอย่างนึกขำ นี่ก็คงเป็นอีกมุมที่จะมีสักกี่คนได้เห็น
แม้แต่ชางโจเองก็คงจะนึกไม่ถึงว่าพี่ชายที่แสนจะเงียบขรึมดุดัน จะช่างพูดช่างคุย ..กับตัวเอง
“เราถามไปตั้งเยอะ จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ”
...อ่าว ก็นึกว่าพูดคนเดียว
“ตกลงตอบได้หรือยัง ว่ายืนเงอะงะทำอะไรอยู่”
แคปยิงคำถามอีกครั้ง
...ก็นึกว่าถามไปเรื่อยเปื่อยไง
“หา.. ตู้”
“ตู้..?”
คำตอบที่คนรอฟังก็ยังพลอยงง
“..จะเตรียมชุดให้”
ปากอิ่มตอบอย่างตะกุกตะกัก
“อ่อ...จริงสินะ”
แคปคลายความสงสัยในทันที แล้วเดินผ่านหน้าชอนจีไปยังผนังด้านหนึ่งของห้องซึ่งไม่ห่างจากเตียงนอนมากนัก
บานไม้ที่สลักลวดลายจนดูกลืนไปกับผนังถูกมือหนาเลื่อนออกด้านข้างอย่างรู้จังหวะ เมื่อบานเลื่อนเปิดออกก็เผยให้เห็นเป็นห้องเล็กๆเจาะลึกเข้าไปในกำแพง
ทันทีที่แคปกดเปิดสวิตช์ แสงไฟทำให้มองเห็นทุกอย่างภายในเด่นชัด
ห้องที่ไม่ได้เล็กจนเกินไปเพียงพอจะจับทุกอย่างใส่เข้าไปในนั้น ทั้งสูท
เสื้อเชิ้ต สแลค รวมถึงเสื้อผ้าลำลอง กระจกส่องได้รอบด้านทั้งหน้า ข้างและหลัง บรรดารองเท้านับร้อยคู่เก็บไว้ในกล่องพลาสติกใสอย่างดี
วางซ้อนเรียงรายจนเกือบจะกลายเป็นของตกแต่งผนังห้อง ชั้นวางของแบบบิวท์อินคละไซส์อีกนับสิบ
และอุปกรณ์เครื่องแต่งกายสารพัด
“เอาแค่สูทที่คล่องตัวหน่อยแล้วกัน”
ดูเหมือนเป็นการพูดกับตัวเอง..หรือเปล่า? ชอนจีได้ยินแคปพูดแค่นั้นก่อนไล่นิ้วเรื่อยไปตามราวแล้วจัดการหยิบสูทสีเทาดำที่ทับกับเชิ้ตดำสนิทอีกตัวออกมาเสียเอง
ตาคมนั้นส่ายมองและไล่นิ้วดูอีกครั้ง สแลคสีเดียวกันถูกหยิบออกมารวบกันเข้าไว้ในมือ
“เลือกไทให้ด้วยนะ”
แคปหันมามองชอนจีที่ยังคงเอาแต่ยืนนิ่ง พอได้ยินเช่นนั้นร่างบางถึงกับหันรีหันขวางอย่างไม่รู้ทิศ
“ลิ้นชักขวาบน..”
เสียงทุ้มบอกลอยผ่านหลังก่อนเจ้าตัวจะหอบสูทเดินออกไป ชอนจีรีบมองหาตำแหน่งที่ว่าทันที
ลิ้นชักอะคริลิคใสใต้ราวสูทที่เรียงชั้นกันเป็นระนาบ เพียงออกแรงดึงเบาๆก็ได้เนคไทสารพัดแบบหลากสีที่ม้วนเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ตากลมส่ายมองโดยทั่วอย่างถ้วนถี่จนเจอเส้นที่ถูกใจ
“จะดูขรึมไปหรือเปล่า..”
เนคไทผ้ามันเงาสีเทาเฉดใกล้เคียงกับสูทตัวนอกถูกหยิบออกมาดูแล้วดูอีกอย่างลังเล
ชอนจีไม่แน่ใจว่ามันจะเหมาะกันหรือเปล่ากับสูทที่ดูทึบตาอยู่แล้ว ร่างบางตัดสินใจหันกลับเพื่อขอความเห็นจากคนข้างนอก
แต่จังหวะถูกขัดเมื่อตากลมเหลือบไปเห็นของบางอย่างที่ช่างยั่วสายตา และอดไม่ได้ที่จะหยิบติดมือมาด้วย
แคปดูสูงสง่าเพียงแค่เชิ้ตและสแลคเข้ารูป
แต่กระนั้นสูทตัวหนาก็ยังถือว่าจำเป็นเพื่อความภูมิฐาน ชอนจีพาดเนคไทไว้บนท่อนแขนแล้วตรงเข้าไปหาคนที่กำลังปราณีตอยู่กับการจัดเชิ้ตให้เข้าที่
แทนที่จะรับหรือสนใจกับเนคไทที่ชอนจียื่นให้ดู แคปกลับไพล่มือไว้ด้านหลัง
ขยับตัวเข้าหาคนตรงหน้าอีกก้าว
“ผูกให้หน่อย..”
ท่าทางลอยหน้าลอยตาและริมฝีปากเหยียดยก ทำให้ชอนจีนึกไม่แน่ใจว่านั้นเป็นคำพูดจริงจังหรือแค่แกล้งกันเล่น
..เป็นคำสั่ง หรือแค่คำขอ
แต่ใครจะกล้าขัดใจ ไม่ว่าจะเป็นคำใดเขาก็ต้องทำตามอยู่ดี
เนคไทเส้นบางถูกวาดผ่านช่วงคอที่สูงกว่าจนต้องเขย่ง ร่างกายจึงได้องศาเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
กลิ่นหอมจางสะอาดลอยแตะจมูกจนชอนจีเผลอสูดเข้าอย่างลืมตัว
เกิดมาก็เพิ่งจะเคยทำอะไรแบบนี้ ..ก็รู้สึกแปลกๆอยู่สักหน่อย
“ทะลึ่งจัง..”
แคปจับข้อมือเล็กค้างไว้จนปลายนิ้วเรียวปล่อยจากเส้นเนคไทไปเอง
“อ อะไร..?”
“ถูกใจกลิ่นน้ำหอม ..หรือว่ากลิ่นกายเรา”
คำเย้าแหย่ทำเอาคนตัวบางถึงกับผละออกห่างแทบจะทันที แก้มใสภายใต้กรอบหน้าเล็กเริ่มขึ้นสีระเรื่อ
เมื่อกายห่างกัน แคปก็กลับไปสนใจกับตัวเองอีกครั้ง เนคไทเส้นเดิมที่พาดคออยู่
ถูกจับตวัด พัน สอด และรูดขึ้นจนชิดปกเชิ้ต เหยียดตัวสูง ติดกระดุมสูทตัวนอก และจัดระเบียบชุดให้เข้าที่
“คือ...”
ข้อศอกถูกมือของชอนจีรั้งไว้เบาๆ และไม่ปล่อยให้สงสัยนาน
ชอนจีคลี่ปลายนิ้วเผยให้เห็นสิ่งของที่อยู่ในมือ
“เราว่ามันน่าจะเหมาะก็เลย..”
“...”
แคปหยิบไทบาร์รูปปีกนกสีเงินในกล่องไม้แกะสลักขึ้นมากลัดอย่างว่าง่ายโดยไม่มีทีท่าจะแสดงความเห็นใดๆ
“ขอบใจนะ”
ตาเรียวโค้งลงรับกับมุมปาก เปล่งคำที่ทำให้ชอนจีได้คลี่ยิ้มตามอย่างพอใจ
“...”
ก่อเกิดความวูบไหวที่เจ้าตัวสัมผัสได้อีกครั้ง
ตั้งแต่เมื่อครู่ก็แกล้งว่าอย่างนั้น เพื่อเอามาเป็นข้ออ้างให้ชอนจีถอยห่างทั้งที่เขาเป็นคนเริ่มมันก่อน
เพราะความปั่นป่วนที่ตีตื้นเตือนให้นึกถึงความผิดพลาดครั้งก่อน ความใกล้ชิดที่ไม่เป็นผลดีทั้งต่อตัวเขาและชอนจีเอง
“ไปล่ะ..”
แคปจับแต่งสูทอีกทีทั้งที่มันก็ไม่ได้ขยับจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ!.. วันนี้เราคงอยู่ข้างนอกทั้งวัน”
ชอนจีก็หันมาพยักหน้ารับโดยดี
“อยากออกไปไหนก็ไปเถอะ ..เราอนุญาต”
คำพูดที่ชอนจีอยากได้ยินที่สุด
สีหน้าเบิกบานยินดีที่เขาเห็น ..มันก็เพียงพอแล้ว
ร่างสูงใหญ่พรวดพราดออกประตูบานใหญ่ โดยมีผู้เฒ่ายืนรออยู่ด้านหน้า
...อยากทำให้ยิ้มได้แบบนี้ตลอดไป
.
.
.
เสื้อผ้าชุดใหม่ไม่ได้ทำให้ชอนจีรู้สึกตื่นเต้นดีใจเท่ากับการได้ออกมานอกกำแพงสูงแห่งนั้น
เขาขอร้องผู้เฒ่าเลือกที่จะไม่ขอมีบริวารติดตาม เพราะแบบนั้นมันคงน่าอึดอัดกว่าอยู่แต่ในห้องเสียอีก
ชอนจีใช้เวลาเดินทางมาร่วมชั่วโมงจนถึงที่หมาย ขาเรียวยาวก้าวลัดเลาะมาตามทางที่คุ้นเคยในหมู่บ้านเล็กๆ
จุดหมายในวันนี้คือที่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตามเวลา
โรงน้ำชาโบราณเล็กๆ
ใช้เป็นที่พบปะสมาคมของเพื่อนฝูงหลายหลากเผ่าพันธุ์มานาน สิ่งที่แตกต่างจากโรงน้ำชาที่อื่นๆก็คือ
ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนทุกคนจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกันหมด เป็นสถานที่เดียวที่เขาไม่ถูกขับไล่จากสังคมสัตว์ปีกด้วยกัน
ยิ่งเข้าใกล้.ยิ่งได้ยินเสียงเซ็งแซ่ ชอนจีก้มศีรษะเพื่อลดความสูงลงเล็กน้อย
ลอดตัวผ่านประตูช่องเล็กเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว
“ . . . ”
คำเรียก เ บ า . . บ า ง ถูกสายลมนำพากลบเกลื่อนให้กลืนหาย
เพราะความตื้นตันที่รื้นขึ้นจุกตรงคอ จนยากเกินจะเปล่งออกมาให้ถ้อยคำเด่นชัด
ปากอิ่มเริ่มแย้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง พยายามควบคุมขากรรไกรลองเค้นเสียงเพรียกหาออกมาอีกครั้ง
“ยาย..”
มือสั่นเทางกเงิ่นอยู่กับเครื่องปรุงชาสารพัดกลิ่นหยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ทันที
ตาสีขุ่นเชยขึ้นพร้อมใบหน้าเพื่อมองหาที่มาของเสียงแว่ว ความชราอาจทำให้ตัวเองหูตาพร่ามัว
ภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินนั้นอาจจะมาจากมโนความคิดจากจิตใต้สำนึก
“ยาย.. หลานเอง มองดีๆสิ”
มโนความคิดมันไม่เคยย้ำภาพฝัน ทุกครั้งที่เพ่งมองและตั้งใจฟังสิ่งเหล่านั้นก็จะเลือนไป
แต่ครั้งนี้กลับยิ่งหลอกหลอน ยิ่งเพ่งมองกลับยิ่งชัด
มือที่เอื้อมไปสัมผัสได้รับไออุ่นตอบกลับจากสิ่งที่คิดว่าไม่มีอยู่จริง
อ้อมกอดที่ถ่าโถมเข้าใส่โอบรัดร่างจนแทบหายใจติดขัด
ถึงขนาดนี้ก็ยังกลัวจนไม่กล้าคิดว่ามันจะเป็นความจริง หากตัดสินใจผละกอดและภาพฝันนี้เกิดหายไป ..ใจคอคงได้ร่วงหล่น ร้อนรนทรมานเช่นเดิม
“กอดแน่นๆสิยาย จะได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง”
ถึงไม่บอกก็อยากโอบรัดแทบไม่อยากให้ดิ้นไปไหน
ยิ่งได้กลิ่นไออุ่นจากกายช่วยย้ำให้ได้มั่นใจ หัวใจก็ยิ่งกระตุกไหวเผลอร่ำไห้จนไม่สนใจสายตารอบข้าง
“โถ... ชอนจี.. ชอนจีหลานยาย.. ชอนจี..”
เกินจะกักเก็บอารมณ์ ร่างเล็กที่ดูเปราะบางยิ่งกว่าชอนจีเปลี่ยนเป็นฝ่ายกระโจนเข้ากอดทั้งน้ำตา
คำเรียกย้ำซ้ำไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนจะใช้รั้งหากว่าร่างในอ้อมกอดนั้นจะหายไป
“สวัสดี..ชอนจี”
“ไม่เจอกันนานเลย”
“นายดูเปลี่ยนไปนะ”
ในพื้นที่แคบเล็กเต็มไปด้วยผู้คน เขากลายเป็นที่สนใจได้ไม่ยาก แต่คำทักทายเหล่านั้นด้วยสัญชาตญาณมันบอกว่าเป็นแค่เพียงมารยาท
และเขาก็แค่ตอบรับไปตามมารยาทเช่นเดียวกัน
ชอนจีจะสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยภายในโรงน้ำชา ด้วยเงื่อนไขที่ว่า..
เขาจะไม่พำนักและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้รวมถึงบริเวณใกล้เคียง แต่สามารถมีโอกาสกลับมาหายายเฒ่าเป็นครั้งคราว
..และเพียงเวลาอันสั้น
“หลานแค่จะมาบอกยายว่าสบายดี ตอนนี้หลานอยู่ในที่ปลอดภัยและสะดวกสบายอย่างมาก
ไม่มีใครรังแกและรังเกียจเหมือนที่อื่นๆ ขอให้ยายสบายใจ”
เพื่อไม่ให้คนที่รักต้องมาเป็นกังวล ชอนจีจึงพูดบางเรื่องและเลือกปกปิดบางอย่าง
ด้วยเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านพร้อมเครื่องแต่งกายอย่างดี
เพียงพอจะใช้การันตีให้ทุกสิ่งที่เขาพูดดูมีน้ำหนัก
“ยายขอโทษนะ..ชอนจี”
แต่แทนที่จะยิ้มหรือแสดงสีหน้าเบิกบาน ยายกลับส่งเสียงครวญครางพร้อมธารน้ำตาที่ระบายทุกข์ออกมาอย่างสุดกลั้น
เขารู้ว่านั่นเป็นน้ำตาของความตื้นตันและสบายใจ ยายอายุมากขึ้นทุกวันแต่กลับต้องจมทุกข์ด้วยความเป็นห่วง
และเอาแต่โทษตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเขาได้ ซึ่งมันไม่ใช่เลยสักนิด
ยายเลี้ยงดูเขามาดีที่สุด อาจจะดีเกินกำลังของยายด้วยซ้ำ ไม่มีใครอยากให้เขาเป็นแบบนี้
ไม่มีใครอยากให้พิราบขาวกำเนิดขึ้นในเผ่า แต่เมื่อมันเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
การขับไล่ก็เป็นแค่กระบวนการในการปกป้องเพื่อความปลอดภัยของคนหมู่มาก
เป็นสิ่งที่ทำกันมาอย่างยาวนานไม่เคยมีข้อยกเว้น
..หากจะโทษก็คงต้องโทษชะตาตัวเอง
“หลานดูสุขสบายดียายก็มีความสุขมากแล้ว”
กรอบหน้าเล็กโดนพรมจูบซ้ำแล้วซ้ำอีก มีทั้งรอยยิ้มที่ปนไปด้วยน้ำตา
...สุขเพียงใด น้ำตาก็ยังไหล
...ทุกข์เพียงใด ก็ยังมีรอยยิ้ม
. . .
ชอนจีอ้างสิทธิ์ ข้อร้องต่อรองหัวหน้าเผ่าขอใช้เวลาอยู่นานกว่าทุกครั้งและสัญญาจะกลับออกไปก่อนฟ้ามืดโดยไม่ให้ใครเห็น
ด้วยความเห็นใจและเกรงใจผู้อาวุโสเขาจึงได้อยู่จนใกล้ค่ำและจำต้องทำตามสัญญา
สองขาเร่งฝีเท้าเดินลัดเลาะออกมาทางเดิม เมื่อได้สักระยะจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครตามมาหาเรื่องจึงค่อยชะลอความเร็ว
ชอนจีเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ร่างกายที่ยังไม่คลายอุ่นจากการโอบกอดแต่กลับอยากได้ไออุ่นนั้นมากขึ้น
เมื่อผละจากยายก็กลายเป็นตัวคนเดียวอีกครั้ง สองขาล้าเดินหลบเข้ามุมหนึ่งของตึกร้านค้า
ทรุดกายนั่งลงในท่าชันเข่ารองรับใบหน้าที่ฟุบลงไปหา แขนทั้งสองข้างถูกใช้เป็นเกราะกั้นตัวเองจากโลกภายนอก
ไหล่เล็กเริ่มโยนโยกไหว มีแค่เขาเท่านั้นที่ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องในหัวใจตัวเอง
ทุกๆซอกมุม อาจจะมีคนที่กำลังเจ็บปวดซุกซ่อนอยู่ เพียงแต่ผู้คนที่ผ่านไปมาแทบไม่มีใครคอยสังเกตหรือรับรู้ในความเจ็บปวดเหล่านั้น
เพราะพวกเขาก็ยังต้องใช้ชีวิตของตัวเองกันต่อไป และคนเหล่านั้นอาจจะเจ็บช้ำไม่ต่างกันอยู่ก็ได้
“น่าสมเพสดีจริง เผ่าอีกาคงไม่น่าอยู่เอาเสียเลยนะ”
ชอนจีค่อยๆผงกศีรษะเมื่อรู้สึกว่าเสียงนั้นใกล้ตัวเสียเหลือเกิน
“พวกนาย..?!”
ปากอิ่มพ่นคำเสียงแข็ง ใส่คนกลุ่มที่ทำตัวเองไว้จนเกือบตาย
“ความจำยังดีนี่.. แสดงว่าคราวก่อนที่โดนไปยังหนักไม่พอ ได้คนช่วยชีวิตถึงกับย้ายเผ่ากันเลย
ฮ่าๆๆๆ”
เสียงแผดหัวเราะของพวกมันทำนึกเจ็บจี๊ดไปถึงรอยแผลเล็กๆบนศีรษะ
เขาโดนตีก่อนที่จะล้มลงไป แล้วก็ถูกรุมจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
“รู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่เผ่าไหน จะตามเราไม่เลิกหรือไง!”
“อย่าสำคัญตัวผิดนักเลยพ่อนกพิราบสกปรก”
“เราไปทำอะไรให้ ทำไมถึงราวีไม่เลิก!”
ชอนจีทำใจกล้าว่าเสียงดุดันใส่
“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ พวกที่ช่วยนายครั้งก่อนเป็นอริกับฝูงเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ส่วนนายก็แค่พิราบขาวที่อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์ มีแต่จะก่อปัญหาให้คนอื่นๆ
สู้ตายไปเสียดีกว่า แต่ไหนๆจะตายก็ช่วยมาเป็นที่ซ้อมมือซ้อมเท้าให้พวกเราก็ไม่เสียหายนี่
แถมพวกเรายังได้หยามหน้าเผ่ากาดำนั่นด้วย ถือว่านายได้ตายอย่างมีประโยชน์นะ
ฮ่าๆๆๆ”
จริงอยู่ที่เขาอาจจะสมควรตาย แต่อย่างไรเขาก็ยังอยากตายให้สมศักดิ์ศรี
ไม่ใช่มาตายเพราะพวกนกอันธพาลแบบนี้
“พวกกระจอก.. ดีแต่รังแกคนอ่อนแอกว่า เก่งแต่เรื่องหมาหมู่ ฮึ! ทำได้แค่นี้เองหรือ”
ชอนจีตั้งใจกวนประสาท ตอนนี้เขาอาจจะกำลังอยากบำบัดความเจ็บปวดตัวเองด้วยคำพูดสบถเหล่านั้นก็เป็นได้
..เขาอาจจะไม่รอด แต่เรื่องอะไรจะยอมตายเปล่า
“ไอ้นี่!!”
ชอนจียกมือขึ้นป้องเมื่อกำลังจะถูกจู่โจม
ตุบ! ตับ!
“โอ้ยยยยยยยยยยย!!!!!”
ชอนจียิ่งกอดตัวเองแน่นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู่
แต่นึกได้ว่าสิ่งนั้นควรจะเกิดขึ้นกับตัวเขา แล้วเสียงร้องนั้น..
ชายร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่กำลังออกหมัดออกเท้าอยู่กับกลุ่มคนพวกนั้น
“แคป!”
ด้วยเสื้อผ้าที่ดูไม่คล่องตัวหรืออย่างไรก็ไม่รู้แน่ แคปจึงดูเป็นรองเสียมากกว่า
“วิ่งไปชอนจี ..เร็ว!”
ในช่วงชุลมุนทุกอย่างดูรวดเร็วเกินจะทันคิด ..เมื่อแคปสั่งเขาก็ออกวิ่ง
. . .
ชอนจีมาไกลจนความเหนื่อยหอบทำให้สติเริ่มกลับมา
...เขาทิ้งแคป เขากำลังหนีเพื่อเอาตัวรอด
ภาพของแคปในชุดสูทที่โดนกระชากไปมา หมัดและขาที่แลกกันจนดูวุ่นวาย ถ้านับจำนวนอาวุธแคปถือเป็นรองอยู่หนึ่งต่อสาม
ร่างกายที่ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัดทำให้ชอนจีนึกกังวลอย่างหนัก ..ครั้งนี้อาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนครั้งที่แล้ว
ตึก! ตึก! ตึก!
ชอนจีกัดฟันออกแรงวิ่งอย่างลืมเหน็ดเหนื่อย ขาเรียวเร่งสุดฝีเท้ากลับไปทางเดิม
...อย่าเป็นอะไรนะแคป ข้อร้อง
.
.
.
เสียงเครื่องมือสื่อสารที่บอกไม่พบสัญญาณการติดต่อ
ซังฮยอกแทบจะปามันทิ้งด้วยความหงุดหงิดหากไม่ติดว่ามันยังจำเป็น เพราะผู้เฒ่าขอแรงให้ช่วยพาคนออกไปตามหาแคปที่อยู่ดีๆก็หุนหันออกจากเคหาสน์แบบไม่พูดไม่กล่าว
อีกทั้งไม่มีบริวารใดๆตามไปแม้แต่คนเดียว ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องที่พาให้วุ่นวายกันไปใหญ่
‘ วันนี้เจ้าเผ่าดูไม่ดีเลย กลัวว่าจะไม่ใช่เรื่องดี
’
ซังฮยอกนึกถึงคำที่ผู้เฒ่าบอกอย่างร้อนใจ
‘ ดูเหมือนจะหยิบอะไรติดมือไปด้วย
ถ้ามองไม่ผิดน่าจะเป็น..สร้อยพระจันทร์ ’
ผู้เฒ่าบอกว่าแคปอนุญาตให้ชอนจีออกไปข้างนอก กับสร้อยพระจันทร์ที่ควรจะอยู่บนคอชอนจีกลับอยู่ในมือของแคป
ซังฮยอกกำลังใช้เหตุผลหลายอย่างมาประกอบกัน
“งั้นก็คงไปตามหาชอนจี..”
ซังฮยอกจำเป็นต้องใช้สัญชาตญาณให้เป็นประโยชน์ เมื่อจำกัดพื้นที่ให้แคบลงได้แล้ว
ก็อยู่ที่ว่าจะกระจายกำลังค้นหาอย่างไรได้ว่องไวที่สุด
“เราจะบินดูเอง พวกนายคอยรับสัญญาณจากเราแล้วกัน”
พอขาดคำ อีกาดำก็ตีปีกบินสูงขึ้นฟ้า ซังฮยอกไม่อยากให้ดูเอิกเกริกเพราะการออกบินเป็นฝูงข้ามเขตพื้นที่ดูจะไม่เป็นผลดีนัก
.
.
.
“ตามเรามา?!”
ชอนจีซักคนที่กำลังนั่งหมดแรงพิงกำแพงอยู่
แคปฝืนขยับเพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว สอดมือเข้าในช่องกระเป๋า
หยิบเส้นโลหะสีเงินออกมาสะท้อนกับแสงไฟในบริเวณนั้น
“มันวางอยู่ในห้อง เราบอกให้ใส่ติดตัวไว้ไม่ใช่หรือไง!”
พอเริ่มเข้าเรื่องแคปจึงได้ทีเสียงแข็งใส่จนชอนจีเองก็หน้าเสีย เขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่ง
แต่เห็นว่ามาในที่แบบนี้จะให้ใส่สร้อยเส้นใหญ่อวดใครต่อใครก็คงจะไม่เหมาะ อาจถูกมองหมิ่นจนหมั่นไส้ก่อเรื่องให้ตัวเองเสียอีก
แต่ถึงอย่างนั้น ชอนจีก็น้อมรับความผิดไม่คิดโต้เถียงใดๆ
โล่งอกไปทีที่แคปไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่กลัว แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าแคปจะไม่จริงจังเกินเหตุ
จนต้องมาเจ็บตัวเพราะเขา
...ก็แค่สร้อยเส้นเดียว
“ถึงจะเป็นแค่สร้อยเส้นเดียว มันก็สำคัญกับนาย ใส่ติดตัวไว้
..อย่าให้ต้องพูดซ้ำ!”
ชอนจียังคงสะดุ้งทุกทีกับประโยคเดิมนี้ หยิบสร้อยเส้นนั้นมาคล้องคอโดยดีไม่ต้องให้โดนดุรอบสอง
“เจ็บแล้วยังจะชอบสั่ง ทิ้งไว้ตรงนี้เสียดีไหม..”
ชอนจีแกล้งว่าไปตามอารมณ์หงุดหงิด
“กล้าก็เอา..”
แคปตอบเสียงเย็นเบาๆ แต่กลับอดยิ้มไม่ได้ ชอบใจนักกับท่าทางสะบัดงอนของคนตรงหน้า
“นายไม่เป็นไรจริงๆนะ”
เมื่อเห็นว่าแคปเริ่มคลายความตึงเครียด เขาก็ย้ำถามให้มั่นใจ
“เรารู้ตัวเองหรอกน่า..”
ชอนจีมองตาเรียวที่เบี่ยงหลบอย่างนึกสงสัย
...ถ้าไม่ได้โกหกแล้วหลบตากันทำไม
ความห่วงใยในสายตายิ่งกร่อนกำลังที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยให้อ่อนแรงลงไปอีก
...ได้โปรดชอนจี อย่าใจดีกับเรา
“ปล่อยให้เป็นห่วงอยู่ได้!”
ทั้งคู่มองขึ้นตามเสียงเกือบจะพร้อมกัน ซังฮยอกกำลังยืนหอบประจันหน้า
กับบริวารที่ตามมาอีกจำนวนหนึ่ง
“ขอบคุณพระเจ้า!”
ชอนจีร้องอุทานด้วยความดีใจ
ซังฮยอกแค่นยิ้ม ตอบเสียงเย็น
“เราไม่ใช่พระเจ้า และก็ไม่เคยเชื่อ..”
กรีดนิ้วดีดแค่ครั้งเดียว บริวารก็ช่วยกันเข้ามาประคองแคปให้ยืนขึ้นเพื่อไปยังเอ็มพีวีคันโตสีดำสนิทที่จอดเทียบรออยู่
“เชิญนายด้วย..”
ซังฮยอกน้อมศีรษะ ผายมือ และออกปากกับชอนจีอย่างสุภาพ
ทั้งที่สีหน้ากลับมาเคร่งตึงเช่นเดิม
เมื่อเห็นว่าแคปพยักหน้ารับเป็นการเสริม ชอนจีจึงเดินตามและพาตัวเองเข้าด้านใน
โดยมีซังฮยอกและบริวารอีกหนึ่งจะตามขึ้นไปนั่งด้านหน้า
. . .
ตลอดทางมีแต่ความเงียบงัน ความรู้สึกผิดเริ่มตีขึ้นหน้าจนร้อนชา ที่ต้องมาวุ่นวายกันไปใหญ่ก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุทั้งนั้น
ถ้าไม่ทิ้งสร้อยไว้ แคปก็คงไม่ต้องออกตามหา ไม่ต้องมาเจ็บตัวซ้ำสอง
“ทำหน้าอมทุกข์แบบนี้ มันขัดใจเรารู้หรือไม่”
แคปเสียงแข็งจนกลบความเงียบนั้นไปสิ้น
“หากเกิดภัย.. ไม่ว่าจะเป็นนายหรือบริวารคนอื่น
ผู้นำอย่างเราไม่มีทางนิ่งเฉยได้หรอก เราต้องดูแลปกป้องคนในความดูแล..มันเป็นหน้าที่ของเรา”
แคปเลือกใช้คำกลางๆ และพูดสิ่งที่ควรเพื่อทำให้ชอนจีรู้สึกสบายใจ พร้อมกัน
ก็ใช้แทนคำขอบคุณบริวารในการช่วยเหลือ
“คราวของชางโจ เราไม่เห็นนายจะออกโรงเองแบบนี้เลยนี่แคป”
เสียงใสจากด้านหน้าแกล้งว่าแซวจนบริวารพากันแอบขำ
“ลามปามใหญ่แล้วนะ ซังฮยอก..”
ยิ่งแคบว่าปราม ก็ยิ่งเพิ่มเสียงหัวเราะครืนจากบริวารที่เหลือ ทำให้บรรยากาศคลายความมึนตึงลงไปมาก
แคบช่างดูแตกต่างจากวันแรกที่เห็น อีกาที่ทรงพลัง เจ้าอารมณ์
แต่กลับอ่อนโยนและใจดีในเวลาที่ถูกที่ควร ตากลมพินิจรูปหน้าที่มีแต่ความเป็นมิตร
เขาคงคิดไม่ผิดที่หวังจะฝากชีวิตไว้กับเผ่าอีกานี้
.
.
.
ชางโจปรี่เข้าไปหาแคปทันทีที่บริวารหอบหิ้วร่างสูงใหญ่เข้ามาในโถง
“พี่ดู ..แย่กว่าที่คิด”
สภาพของพี่ชายทำให้ชางโจเริ่มใจเสีย
“ไม่เป็นไรมากหรอกน่า ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”
“ก็เพราะเราไม่เคยเห็นพี่เป็นขนาดนี้นั่นสิ!!”
ชางโจตวาดใส่
พี่ชายเขาไม่เคยบาดเจ็บขนาดต้องใช้คนโอบ อย่างมากก็คิ้วแตก
หรือแค่ถลอกตามตัว นอกจากอาการบาดเจ็บทางกายที่เห็นได้ชัด
สีหน้าตอนนี้ก็ไม่สู้ดีเอาเสียเลย ปากและผิวหน้าเกือบจะไร้สี
ตารีเรียวปริบปรือเหมือนกำลังจะขาดสติ ขาสองข้างก็พยายามหยัดยืนด้วยกำลังทั้งหมด
“เราพยายามเปิดใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ถ้านี้เป็นแค่เริ่มต้น
ต่อไปพวกเราจะต้องเจอกับอะไรอีก!”
ชางโจผละจากแคปตรงไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถึงจะไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ
แต่การพ่นประโยคเหล่านั้นใส่หน้าก็รู้ได้ว่าพูดถึงใคร
“ไม่ใช่ความผิดของชอนจี”
แคปยังคงพยายามทำใจเย็น หากต้องการให้ชางโจสงบ เขาต้องสงบก่อน
“พี่ก็ยังเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม ...หรือต้องรอให้มีใครตายเสียก่อน!!”
“หยุด! .. อัก!”
“แคป!!” / “เจ้าเผ่า!!”
เสียงร้องเรียกกรีดก้องไปทั้งโถง จนชางโจต้องรีบหันกลับไปมอง
ร่างของพี่ชายทรุดฮวบแน่นิ่งลงกับพื้น
ริมฝีปากจนถึงช่วงอกเปรอะแดงไปด้วยก้อนลิ่มเลือดที่กระอักออกมา
“พาขึ้นห้อง เร็ว!!”
เสียงผู้เฒ่าร้องเรียกสติบริวาร คนสนิทต่างรู้หน้าที่ในทันทีจึงรีบช่วยกันพาร่างหมดสตินั้นขึ้นไปตามคำสั่ง
เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่เริ่มดังทั่วทั้งเคหาสน์
ความตระหนกตกใจทำให้บริวารที่เหลือต่างวิ่งพล่านอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง
ความโกลาหลยิ่งเพิ่มโทสะให้ชางโจร้อนรุมยิ่งกว่าไฟ
มือหนาตรงเข้าบีดรัดลำคอระหงอย่างขาดสติ
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะนาย!”
“เรา.. อ๊อก!”
ยิ่งพูด ลำคอก็ยิ่งถูกรัด
“ปล่อย..ชางโจ! ถ้าจะมีใครตายตอนนี้ก็คงเป็นเพราะนายต่างหาก!”
โชคดีที่ซังฮยอกเหลือบมาเห็นเสียก่อนจึงเข้ามาช่วยแกะมือเหล็กนั้นออกได้ทัน
“เฮือก.. ค๊อก ค๊อก”
ชอนจีทรุดนั่งลงพื้น หอบเอาอากาศเข้าปากเหมือนคนดำดิ่งที่เพิ่งโผล่จากน้ำ
ปอดตะกละตะกลามถามหาอากาศเพราะใกล้จะขาดใจ
แม้จะถูกซังฮยอกลากตัวไปแล้ว แต่ชางโจก็ใช่ว่าจะยอมหยุด
ชอนจีเห็นเพียงเรียวปากนั้นยังพ่นคำสารพัด
เพียงแต่มันได้ถูกกลืนเป็นเสียงเดียวกับความวุ่นวายรอบด้าน ชอนจีไม่อาจแยกแยะได้แล้วว่าคำไหนเป็นคำไหน
มีเพียงรอยแดงฉานเปรอะเปื้อนตรงหน้าที่แจ่มชัดที่สุดในเวลานี้
“เราขอโทษ..”
ไม่ใช่เพียงแคปหรือชางโจ แต่ชอนจีอยากให้มันไปถึงทุกๆคนที่ได้รับผลในครั้งนี้
-TBC-
>>> INFINITE"Back"
>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"
คุยๆ: แคปเจอเรื่องหนักเลยทีนี้
หรือชอนจีเจอหนักกว่า อย่าโกรธชางโจเลยนะ ว่ากันไปตามเหตุตามผล
อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าน้องเค้ารักพี่มาก แม้จะเลิกปากเสียไม่ได้ก็เถอะ >_<
ปล. ตอนนี้มายาวตามคำขอแล้วนะคะ ตอนหน้ามาเมื่อไหร่
..อันนี้ก็ไม่รู้วววว
อ่านมาถึงตอนนี้ แลดูจะยิ่งห่างไกลสิ่งที่เราหวังไปทุกทียังไงก็ไม่รู้ 😂😂😂😂
ReplyDelete..........
แคป ท่านเริ่มหวั่นไหวอะไรใช่มั้ยท่าน ตอบเรามานะ 😁
แล้วเมื่อไหร่ชางโจจะพูดดีๆกับชอนจีบ้าง 😓
แล้ว.... เทนจิคือใคร ... ก็ยังอยากรู้อยู่นะ 😉
แอบสงสารชอนจีต้องห่างจากยายผู้เป็นที่รัก ยายก็น่าสงสารคิดถึงหลานแทบจะขาดใจ
ReplyDeleteแคปกับชอนจีเขาเถียงกันแต่เรากลับอมยิ้ม งื้อน่ารัก แคปเริ่มชอบชอนจีแล้วใช่ไหม
ส่วนชางโจรักพี่ชายมากอ่ะ ถ้าซังฮยอกไม่ห้ามนี่ชอยู่จีอาจไม่รอดได้