CAN YOU SAVE ME - Part 5 -



Reconcile









“..!..”


“เทนจิ...”



สัมผัสนุ่มชื้น..   



กดย้ำ.. 



ผละออก..



ย้ำซ้ำ..




ครั้งแล้วครั้งเล่า




เขาเหมือนกำลังจะขาดใจ



ลมหายใจที่ขาดห้วงทำเอาหมดเรี่ยวแรง อีกทั้งหัวใจที่กำลังเต้นหนักพร้อมจะหลุดจากขั้วได้ทุกเมื่อ




...ทรมาน



“อื้ม!


แรงต้านชัดเจนพอจะทำให้แคปรู้สึก เจ้าของริมฝีปากจาบจ้วงจึงถอนมันออกอย่างเนิบช้า..อ้อยอิ่ง ใบหน้าที่ถอนห่างมา ทำให้เห็นอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ชัดเจน


ริมฝีปากอิ่มที่ยังสั่นระริก ร่างกายก็ยังหอบโยน แคปมองว่าไม่ต่างกับลูกนกที่กำลังตื่นกลัว



มือบางยังกุมกันแน่น บีบคั้นระบายอารมณ์อยู่ตรงหน้าขา เพราะไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้สึกอะไรไปกับมัน อย่างน้อย..ก็พอจะทำให้ตื่นเต้นและตื่นกลัว กับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยประสบ





“ขอโทษนะ..”

ท่ามกลางความเงียบ เขาได้ยินเสียงทุ้มแผ่วเอ่ยบอก ชอนจีหันมองร่างสูงใหญ่ข้างๆที่กำลังนั่งคอตก ตาคมเบี่ยงหนีไม่กล้าสู้หน้า มือหนาจิกขยุ้มศีรษะ



ตากลมนั้นกำลังจ้องมาที่เขา ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ทำให้เสียความรู้สึกกันไปมากกว่านี้แท้ๆ นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์เตลิดจนเกินควบคุม หากชอนจีจะไม่พอใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก



...จะทำใครเจ็บปวดอีกไม่ได้



แม้จะยังไม่เข้าใจในการกระทำ แต่ท่าทีที่ดูทรมานไม่ต่างกับเขานั้น ทำให้ไม่นึกโกรธเท่าที่ควรจะเป็น




เพียงแต่ยังติดค้างในคำเรียกที่แปลกหู




สิ่งที่แคปแสดงออกกับเขา แต่ทว่า..กลับเอ่ยถึงคนอื่น




...เทนจิเป็นใคร?


.


.


.



ผลัก! ... ตุบ!

เสียงของหนักหล่นอัดกับพื้นด้านล่าง


ซังฮยอกหดขาที่เพิ่งส่งคนตัวใหญ่ลงไปกองพร้อมๆกับชันตัวขึ้นจากฟูกที่นอน ดวงตาฉายแววโทสะปนความผิดหวัง



“เราไม่ใช่เขา..”
เสียงเย็นและเบาแผ่ว ก่อนร่างนั้นจะกระถดตัวลงจากเตียงหนา หุนหันเดินออกไปจากห้อง



ร่างสูงใหญ่ที่ยังนั่งเจ็บจุก ได้แต่เก็บถ้อยคำขอโทษเอาไว้



เมื่อผลจากแอลกอฮอล์ก็ดูจะหายไปพลัน ชางโจจึงได้สติประกอบความคิดฟุ้งซ่านให้เข้าที่



“...”
มือหนายกทาบปากเมื่อนึกได้ว่าหลุดคำเรียกถึงใครอีกคนออกไป ก็คงไม่ผิด หากซังฮยอกจะแสดงออกว่าไม่พอใจขนาดนั้น



“ไม่! ต้องเป็นซังฮยอกเท่านั้น!



ชางโจต่อสู้กับความคิดอีกครั้ง พยายามกรอกชื่อนั้นซ้ำๆแทนความทรงจำถึงใครอีกคนหนึ่ง..




โขดหินในทะเลที่กำลังโผล่พ้นผิวน้ำ

กลับยิ่งเด่นชัดเมื่อต้องแสงจันทร์





...น้ำหอม



มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นตัวเร่งเร้า กลิ่นหอมที่เคยคุ้น.. จูงใจให้นึกถึงรสสัมผัสอันคุ้นเคย มโนภาพของเขาคนนั้นจึงถูกขับดันออกมาจากจิตสำนึกให้ยิ่งชัดเจน




ก็แค่ความรู้สึกชั่ววูบ เกิดขึ้น.. แล้วก็หายไป



...ใช่แน่ๆ มันต้องเป็นเช่นนั้น




แล้วซังฮยอกมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนี้ ทำไมจะต้องปรุงแต่งตัวเองให้เป็นเหมือนคนอื่น ..ทำไมต้องเหมือนกัน



“หรืออยากลองใจ.. เพื่ออะไร!?



แผ่นอกหนาโยกไหว ถอนหายใจกับความคิดที่ตีบตันไปด้วยคำถาม แต่ไม่ว่าซังฮยอกจะทำไปเพราะเหตุผลอะไร ตอนนี้.. เขาก็ถูกมองในแง่ลบไปเสียแล้ว



...



ตาคมเหลือบไปเห็นอุปกรณ์ทำแผลที่ยังวางอยู่ปลายเตียง ..นึกอยากยิ้มเยาะตัวเองเสียเหลือเกิน



เริ่มจากมีเรื่องกับพวกเหยี่ยว.. ถูกพี่ชายตบหน้า.. จนถึงโดนถีบลงมาจากเตียง



...อึดเหมือนนี่เรา



ชางโจพยายามดันตัวขึ้นยืนทั้งที่ยังไม่หายจากอาการเจ็บร้าว ทิ้งของเหล่านั้นไว้ด้านหลังโดยไม่ได้ใส่ใจจะจัดการกับบาดแผล



ถ้าไม่ยอมทำแผล พี่จะไม่พาออกไปเล่น

สองขาหยุดฉับ ตาคมหันหรี่มองอุปกรณ์เหล่านั้นอีกครั้ง



แผลเล็กแค่นี้ ต้องรู้จักอดทนสิ


ร้องไห้อีกแล้ว เป็นลูกเจ้าเผ่า ห้ามร้องไห้ให้ใครเห็นเด็ดขาด



“...”
ชางโจรีบปาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามันเอ่อรื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่


...
..
.

เด็กน้อยยังคงสะอื้นแต่ก็พยายามกักกั้นมันไว้

“แล้วทำไมพี่ถึงร้องไห้ล่ะ”

เพราะความสงสารน้องจับใจจึงอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตา ยิ่งกว่าเจ็บปวดทางกาย ชางโจคงเจ็บใจที่โดนกลั่นแกล้งและดูถูก เรียวปากที่เหยียดตรงยกมุมขึ้นเป็นรอยยิ้มช้าๆ

“ก็พี่ไม่ใช่ลูกพ่อนี่ ไม่ได้เป็นลูกเจ้าเผ่าเหมือนชางโจ พี่ร้องไห้ก็ไม่เป็นไรหรอก”
แคปยังระบายยิ้มอย่างอ่อนโยนหวังให้มันเป็นกำลังใจแก่น้องชาย
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าเราไม่ชอบให้พูดแบบนี้ พี่เป็นพี่ชายเรา เป็นลูกของพ่อแม่ ...นะแคป อย่าพูดเหมือนพี่เป็นคนอื่นอีกนะ”
เด็กน้อยตั้งท่าจะร้องไห้อีกครั้ง แต่ก็ถูกกอดปลอบจากพี่ชายตัวสูง
“เข้าใจแล้ว พี่แค่อธิบายกับชางโจเฉยๆ ..อย่าร้องอีกเลยนะ”
แคปปาดคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งสนิทอย่างเบามือ นึกเอ็นดูจนอดที่จะจุมพิตบนพวกแก้มนิ่มนั้นไม่ได้

“เรามาสัญญากันแบบลูกผู้ชายดีกว่า จากนี้.. พี่จะไม่ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเราเป็นลูกของพ่อ แต่เพราะพี่ต้องเข้มแข็งเพื่อจะปกป้องชางโจของพี่ นายก็เหมือนกัน นายจะต้องเข้มแข็งเพื่อปกป้องคนที่นายรัก ..ตกลงนะ”

นิ้วก้อยเล็กอวบยกขึ้นมาตรงหน้าแทนคำตอบ แคปหลุดยิ้มกับความน่ารักพร้อมส่งนิ้วก้อยที่ใหญ่กว่าเกี่ยวตอบอย่างขัดเขิน

.
..
...


“ถึงตอนนี้เราก็ยังรักษาสัญญา แม้ว่าหลายอย่างมันเปลี่ยนไป ทั้งที่เคยบอกเขาว่าจะปกป้องดูแล แต่กลับเป็นคนที่ทำให้เขาเสียใจที่สุด จนตอนนี้..เราถูกน้องชายตัวเองเกลียดเสียแล้ว”


เสียงพูดเอื่อยๆตามด้วยเสียงถอนหายใจ พอให้ชอนจีจับความรู้สึกในทุกประโยคได้


“ไม่ใช่หรอกนะ”
ชอนจีนึกค้าน


“มันไม่ใช่ความเกลียดชัง ก็แค่ไม่เข้าใจกันเท่านั้นเอง”
ชอนจีรีบพูดเสริมคำที่ค้างไว้


.


.


.



กายกำยำหย่อนตัวทอดยาวในอ่างน้ำอุ่น ใช้ความร้อนเป็นตัวผ่อนคลายกล้ามเนื้อต่างๆที่เครียดตึงมาทั้งวัน ตาคมพริ้มตาหลับ วางศีรษะพักไว้บนขอบอ่าง


ปล่อยให้ความเงียบของรัตติกาลนำพาจิตใจให้ลอยไปถึงเรื่องในอดีต


จริงอยู่ที่แคปไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อกับแม่ แต่เขาก็รักเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆคนหนึ่ง



ด้วยหน้าที่.. ทำให้พ่อต้องให้ความสำคัญกับพวกพ้องมากกว่าครอบครัว ตั้งแต่จำความได้ เขาใกล้ชิดพ่อน้อยกว่าบริวารในบ้านบางคนเสียอีก แต่แบบนั้นก็ดีแล้ว เพราะในสายตาพ่อ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมักจะขัดหูขัดตาไปเสียหมด ตรงข้ามกับแคป ที่ดูจะพออกพอใจไปเสียทุกเรื่อง



มันก็ไม่ได้แย่ และไม่ได้ทำให้เขารักพี่ชายน้อยลง เพราะคนที่คอยทดแทนความรักที่เว้าแหว่งนั้น ก็มีแต่แม่และพี่ชาย แคปไม่เคยใช้ความเป็นลูกรักมารังแกหรือเอาเปรียบเขาเลย ตรงข้าม..กลับใช้ความเกรงใจของพ่อในการออกตัวรับหน้าแทนเมื่อเขาโดนดุหรือทำโทษ เขาจึงไม่เคยคิดโกรธหรืออิจฉาหากว่าแคปจะเป็นที่รักต่อทุกคน..




แต่ทุกอย่างในโลกไม่ได้จีรัง เมื่อมีเหตุที่ทำให้ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ แคปจึงจำเป็นต้องเข้ามารับช่วงตำแหน่งด้วยความเห็นชอบของบริวาร เขาเองก็รู้สึกยินดีเพราะพี่ชายมีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการเป็นผู้นำเผ่า ..ที่เขาจะหวังพึ่งได้



คิดไม่ถึง..




พี่ชายที่แสนรักเปลี่ยนไปราวกับคนละคน นับวันจะยิ่งพยายามทำตัวสูงส่ง ใช้อำนาจเพื่อให้ทุกคนเกรงกลัว เข้าใจอยู่ว่าเรื่องพ่ออาจทำให้เกิดความไม่ไว้ใจในบริวารอย่างที่เคย แต่ไม่คิดว่าคนใจดีและโอบอ้อมอย่างนั้นจะแข็งกร้าวได้ขนาดนี้


ความผูกพันและความใกล้ชิดระหว่างเราสองพี่น้องก็พลอยแปรเปลี่ยนไปด้วย รู้สึกห่างเหินและเข้าหน้ากันยากเข้าไปทุกที ทุกวันนี้เขาจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เหมือนเป็นเพียงแค่ผู้อาศัยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น



ชางโจนึกรังเกียจในอำนาจ




อำนาจ..มันทำให้พี่ชายไม่ต่างอะไรกับพ่อเลย



.


.


.



“ยิ้มอะไร..”

ชอนจีถามอย่างไม่มั่นใจ ยิ้มอ่อนๆแบบนั้น ..มันผิดวิสัย


“เราชอบนะ คำว่า ไม่เข้าใจ เพราะมันทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง”

แคปยังยิ้ม และว่าเสียงเรียบ


“แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ชางโจเข้าใจเรา”


ชอนจีได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีทั้งคำแย้งหรือความเห็นใดๆ


“ไม่โกรธชางโจหรือไง ที่พูดถึงนายแบบนั้น”


ชอนจีส่ายหน้าปฏิเสธ


“อย่าว่าแต่ชางโจเลย เราไม่มีสิทธิ์โกรธใครทั้งนั้น ตัวอัปมงคลอย่างเราไม่มีใครยอมรับได้ง่ายๆหรอก”


คำบางคำทำเอาแคปคิ้วขมวด ความน้อยเนื้อต่ำใจแสดงออกมาให้เห็นในแววตาที่ดูสลด จนนึกอยากปลอบ


“ชอนจี.. นายไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก แค่คนอื่นยังไม่เข้าใจ”


ชอนจีหลุดขำเบาๆกับมุกฝืดที่แคปย้อนเอาคำเขามาใช้


“แต่เราไม่เห็นจะรู้สึกดีกับตัวเองเลยสักนิด..”


“ดึกมากแล้ว นายกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ ..ยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่หรือ”

คงจะดีกว่าหากจะเบี่ยงความสนใจของชอนจี



ตากลม โตขึ้นอย่างลืมตัว ยิ่งทำให้แคปมั่นใจว่าเขาเดาไม่ผิด


“เราก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”
ร่างสูงใหญ่ชันตัวขึ้นจากโซฟา เดินตรงไปยังเตียงใหญ่ที่อยู่มุมด้านในของห้องกว้าง


“อ้อ.. พรุ่งนี้เรามีนัดเช้า ช่วยจัดเสื้อผ้าวางให้เราหน่อยนะ ..ทำได้ใช่ไหม”
แคปว่าพลางกับสอดตัวเข้าใต้ผืนผ้าห่มหนาเพื่อแสดงว่าเขาอยากพักเต็มที



“ได้..”

ชอนจีรีบรับคำ แล้วเดินกลับเข้าหลังประตูบานเล็กไป


.


.


.


ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งบนขอนไม้ข้างลำธารจำลองกลางสวน เมื่อข่มตาให้หลับไม่ได้ก็ไม่อยากจะไปฝืน แต่แทนที่จะจับเจ่าเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง สู้มานั่งรับลมให้เย็นใจดีกว่า ชอนจีเดินไปเดินมาอยู่ในสวนพักใหญ่ นึกเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสได้เดินชมมันจนทั่วเสียที เวลาเช่นนี้ก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก หากเกิดมีบริวารไถ่ถามอย่างนึกสงสัย การพูดอะไรก็ดูจะเป็นคำแก้ตัวเสียมากกว่า



“นายไม่ควรออกมาดึกดื่นขนาดนี้!


ชอนจีสะดุ้งโหยงหันขวับอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าน่าจะมีใครในยามวิกาลเช่นนี้


“..ชางโจ”


“อืม.. จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ เราไม่มีชื่ออื่นให้เรียกนี่”


ด้วยหน้าตาเปื้อนยิ้มแต่แกมประชดในที ชอนจีเริ่มไม่สบอารมณ์ด้วยนัก


“คงแปลกที่.. เลยนอนไม่หลับ ตั้งใจว่าจะลงมา..”
“เราไม่ได้อยากรู้! นายจะกินอิ่มนอนหลับหรือไม่.. ไม่ใช่ธุระของเรา ที่พูด.. เพราะกลัวว่าถ้าแคปหานายไม่เจอ จะมาพาลกับบริวารให้วุ่นวายกันไปอีก”

ชางโจสวนทันควันโดยไม่รอให้จบประโยค


“แคปหลับไปนานแล้ว เราก็เลย..”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากรู้!


ชอนจีคิ้วขมวดเมื่อโดนกระแทกเสียงใส่ มองเขม็งแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน


ตาคมที่สบกลับก็ไม่ได้ลดราน้อยไปกว่ากัน


พี่นี่น่าสมเพสจริงๆ..
มุมปากยังยิ้มเยาะ ชางโจพึมพำแค่พอตัวเองได้ยิน


“ไม่คิดสงสัยบ้างหรือไง ทำไมแคปถึงยอมให้นายอยู่ที่นี่”
ชางโจเอียงคอไปมา ยังไม่ทิ้งท่ายียวน


“เคยถาม.. แต่แคปไม่ได้บอกอะไร”
ชอนจีก้มหน้าก้มตาตอบ


“ฮ่าๆๆ เดาไว้ไม่ผิด”


เขารู้สึกไม่พอใจเสียงนั้นเสียเลย


“เราควรจะรังเกียจ..  หรือว่าสงสารนายดีนะ”


ร่างสูงใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้..  ใกล้จนเห็นรอยยิ้มร้ายที่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงคืบ




“หรือจะทั้งสองอย่าง..”

“...”

ชอนจีรีบถอยตัวออกตามสัญชาตญาณ


“ถ้าจะรังเกียจเราไม่ว่า.. แต่อย่ามาสงสารเรา!

นั่นยิ่งทำให้ชางโจได้ใจ


“หยิ่งเสียด้วยสิ ฮ่าๆๆ น่าขำ”


ชางโจหัวเราะลั่นท่ามกลางความเงียบสงัด โดยไม่คิดใส่ใจว่าใครจะมาได้ยิน


“เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแคปถึงเป็นกังวลเรื่องนายนัก ถ้าเรามีน้องชายแบบนี้เราก็คงทำอย่างแคปเหมือนกัน”

ปากอิ่มตอกกลับความไม่เป็นมิตรนั้นอย่างสุดกลั้น


“โอ้ย..!”
ไหล่บางถูกฝ่ามือแข็งแรงบีบตรึงจนปวดร้าว


“ถ้าไม่รู้อะไร ก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีเรื่องของเรา”
ชางโจขบกราม กดเสียงต่ำ มือหนาเขย่าหัวไหล่ให้ไหวไปตามอารมณ์


แม้จะรู้สึกปวดลามไปจนเกือบลำคอ แต่ชอนจีก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาสักนิด ยิ่งชางโจโกรธเกรี้ยวเขายิ่งอยากเอาชนะ


“คนที่ไม่รู้อะไรคือนายต่างหาก..”


ชอนจีและชางโจยังต่อสู้กันผ่านสายตา คนหนึ่งเต็มไปด้วยโทสะ ส่วนอีกคนกำลังใช้ความสงบนิ่ง


“เรารู้นะ ว่าเรามันน่ารังเกียจ ถ้าจะบอกว่าเราชินชากับความรู้สึกแบบนี้ นายจะเชื่อเราหรือไม่..”
ชอนจีใช้น้ำเสียงราบเรียบ


“ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราถูกรังแก ถูกขับไล่ เราไม่เคยอยู่ที่ไหนได้นานเพราะชาติกำเนิดของตัวเอง มีครอบครัวก็ไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกัน ต้องคอยหลบซ่อนจากอันตรายที่หมายจะกำจัดอยู่ตลอดเวลา เราไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลยมาตั้งแต่เกิด ความรู้สึกมันแย่เกินกว่านายจะจินตนาการได้”



“...”
ชางโจวูบไหวกับแววตาเศร้าที่สบกลับมา


“ถ้านายคิดว่าไม่มีใคร นั่นคงเพราะนายไม่ใส่ใจที่จะมองหา คอยแต่จะรอรับความรักความเอาใจใส่จนลืมห่วงใยคนรอบข้าง”



ชอนจีเว้นช่วง เมื่อเห็นสีหน้าเครียดตึงของชางโจ


“ฟังเราพูดให้จบ แล้วจากนั้นจะต่อยหน้าเราก็ได้”

ชางโจเบี่ยงหน้าหนี เพื่อซ่อนใบหน้าที่ชอนจีจะอ่านความรู้สึกเขาออก



“เราเป็นคนนอก เรายังดูออกเลยว่านายสองคนรักกันแค่ไหน มันแข็งแรงพอจะใช้เป็นเกราะกำบังความเกลียดชังด้วยซ้ำ แม้บางครั้งการแสดงออกถึงมันจะดูผิดรูปผิดร่างไปบ้าง แต่มันก็ยังเป็นความรัก เพราะรักเพราะห่วงเราจึงรู้สึกเจ็บปวดไปกับมัน”


ชอนจีมองใบหน้าที่ดูสงบลง



“ทุกคนมีข้อบกพร่อง ถ้าเรามองเห็นข้อบกพร่องเหล่านั้น เราก็จะรู้จุดที่ต้องแก้ไข นายไม่ใช่คนไม่ดี แค่ยังมองไม่เห็นตัวเอง ยิ่งนายรู้สึกไม่พอใจคำพูดของพี่ชายเท่าไหร่ นายต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นให้ได้ว่านายไม่ได้เป็นแบบนั้น การที่นายยิ่งทำตัวแย่ก็เหมือนทำตัวให้เข้าทาง แล้วมันจะต่างอะไรกับที่โดนว่ากล่าวไปอย่างนั้น”


“นี่นายแอบฟัง..!

ชอนจีกระเด้งตัวตรงเมื่อพลั้งปากจนลืมคิด


“ไม่ต้องมาหลบตา ที่เมื่อครู่ยังว่าเราฉอดๆ”
ชางโจว่าเสียงเข้ม เพ่งพิจารณาสีหน้านั้นอย่างละเอียด


“นายไม่ใช่เทนจิ..”
ชอนจีหันขวับที่ได้ยินชื่อเรียกนั้นอีกครั้ง


“เทนจิ? ใช่! แคปเรียกชื่อเทนจิตอนที่.. ”
ชอนจียกมือขึ้นแตะปาก รีบกลืนคำของตัวเองลงคอ


“นายก็รู้จักเทนจิด้วยใช่ไหม?”


“รู้จัก.. แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องบอกอะไรนาย อย่างรู้ก็ไปถามแคปเอาเอง”



...เหมือนกันหมด

ชอนจีนึกรำคาญใจ



“เราอยากให้นายเปิดใจให้แคป เชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผล”
ปากอิ่มร้องว่าตามหลังคนที่กำลังเดินออกไป


“เรื่องนั้นเราคิดเองได้!
ฝีเท้าชางโจหยุดลง


“ส่วนเรื่องของนาย อย่าคิดว่าเราจะสงสาร จนกว่าเราจะแน่ใจว่านายจะไม่..ทำเรื่องไม่ดี เราก็ยังไม่สนิทใจที่จะยอมรับนายได้หรอกนะ ..หวังว่าคงเข้าใจ”

ร่างกำยำหยุดพูดแค่นั้น ก่อนสาวเท้าเดินต่อ



ชอนจีระบายยิ้มอ่อนๆให้กับแผ่นหลังที่ห่างไปไกล





“เราคงช่วยได้แค่นี้นะแคป..”







-TBC-



>>> INFINITE"Back"

>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"




           

คุยๆมาสั้นๆ แต่ก็ยังอยากลง คือถ้าต่ออีกหน่อย ก็ยาวเกินไปไม่ได้ลงแน่ๆ 



2 comments:

  1. เทนจิคือใคร?? นั่นแหละ สองตอนผ่านไป ก็ยังวนอยู่ที่คำถามเดิม =*=
    ชางโจจะคิดอะไรขึ้นได้บ้างมั้ยจากคำพูดของชอนจี
    มันต้องยังไม่จบง่ายๆใช่มั้ยลูกกาตาดำๆทั้งหลายของป้า >.<

    ถ้ามันจะยาวกว่านี้อีกก็ต่อตอนใหม่พรุ่งนี้เลยสิคะ อิอิ :P

    ReplyDelete
  2. เทนจิคือใครคะ งื้อสงสัยและอยากรู้แรงมากกกกก><
    แอบหวังว่าชางโจจะคิดได้จริงๆอย่างที่บอกกับชอนจีเผื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจะดีขึ้นและอาจกลับมาดีได้เหมือนเดิม

    ReplyDelete