CAN YOU SAVE ME - Part 4 -




Between













ตึก ตึก


สองเท้าย่ำกระแทกพื้นแรงตามอารมณ์



ชางโจ!”

แขนข้างหนึ่งนั้นโดนชายชรารั้งไว้




“ทำไมเพิ่งจะลงมา”

ยังเกรงใจอยู่บ้าง ชางโจจึงเพียงดึงแขนตัวเองกลับมา แล้วเดินเลี่ยงไป




...อยากหายไป ไปไหนก็ได้ ไปให้พ้นๆ




“...”

“นี่..”


ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง เมื่อพี่ชายยืนบังวิถีไว้


“หลีก..”

ชางโจแสดงการปฏิเสธทันควัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ


แคปเองก็ไม่คิดจะรั้งไว้ จึงเอี้ยวตัวหลบให้แต่โดยดี




กึก!

เพราะเอาแต่หลับหูหลับตาจ้ำอ้าว จนเกือบจะชนคนที่ตามหลังแคปมาติดๆ



“..!..”

เรียวตาคมที่ไม่ทิ้งเชื้อมาจากพี่ชายเบิกโพล่ง ไม่ต่างอะไรกับอีกคน..ที่ดูตระหนกไม่แพ้กัน ดวงตาสองคู่จับจ้องกันอยู่แบบไม่มีใครหนีใคร

กลับเป็นชางโจที่ดูจะมีปฏิกริยารุนแรงกว่า ผิวเนื้อเย็นวาบเหมือนทุกเส้นขนกำลังโดนแช่แข็ง เลือดในกายที่เดือดพล่านลดฮวบสู่จุดยะเยือก ปากคอสะท้าน แขนขาพาลปลดเปลี้ยจนร่วงหงายกองไปกับพื้น



ดวงตาเขม็งโตคู่นั้น..กำลังเพ่งมาที่เขา ใบหน้าซีดเผือด เรียวปากแทบไม่เหลือสีเลือด



...เขาคงเป็นตัวประหลาด น่ารังเกียจขนาดนั้น




“..!..”

แค่จังหวะที่เขาขยับกายกลับทำให้ร่างบนพื้นต้องรีบกระถดหนี



แคปย่อตัวลงไปหาจนอยู่ระดับเดียวกับชางโจ มือข้างหนึ่งแตะบ่ากว้างของน้องชายพอให้เจ้าตัวดึงสติ



“ไหนๆก็เจอกันแล้ว รู้จักกันเสียก็ดี.. น้องชายเรา ..ชางโจ”




ชอนจีพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังดูตื่นๆ  ..ผิดกับอีกคนที่ไม่ยอมตอบสนอง 

คปก้มลงให้ใกล้ใบหูชางโจอีกนิด ผายมือตัวเองนำสายตาไปสู่อีกคน



“ชอนจี.. ชื่อของเขาคือชอนจี นายคงรู้มาจากซังฮยอกบ้างแล้ว พี่จะไม่พูดซ้ำอีก”


“ไม่! ซังฮยอกไม่ได้บอกเราว่า..”
ชางโจดูยังคุมสติตัวเองได้ไม่ดีนัก

“ว่าอะไร..?”
แคปยิงคำถามใส่กับรอยยิ้มมุมปาก


“...”
ชางโจมองหน้าพี่ชาย ตรองถึงสิ่งที่พูด แต่แล้วก็ลุกพรวดออกจากตรงนั้น โดยไม่ได้ตอบอะไร



“ไปเถอะ..”
แคปรั้งข้อศอกเบาๆ เรียกคนที่ยืนก้มหน้ามาสนใจ แล้วจึงเดินนำออกไปอีกครั้ง


ไม่ใช่ไม่สังเกตเห็นสีหน้าเป็นกังวล เวลาแบบนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำ ยังมีเรื่องไม่เข้าใจแต่ไม่ใช่เวลาอธิบาย แค่ให้ถึงเวลานั้น ทุกอย่างจะกระจ่างเอง


ทั้งชางโจ และชอนจี


...



ผู้เฒ่าเดินนำทั้งสองผ่านโถงใหญ่เพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดของเคหาสน์ ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปอีกสองชั้นจากห้องพักของชอนจี

เพราะแทบไม่ได้ออกไปไหนไกล ชอนจีจึงดูตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ ผนัง หน้าต่าง บานประตู ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็กชิ้นน้อย การตกแต่งประดับประดาเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วทั้งเคหาสน์ แม้จะเป็นที่พำนักของเผ่าอีกาดำ แต่กลับเป็นสถานที่โอ่โถงเน้นสีโทนสว่างอย่างสีขาวและสีครีม เพิ่มความหรูหราและคลาสสิกด้วยสีดำและสีทอง



ชอนจีเอาแต่สนใจรอบตัวจนเกือบจะชนหลังผู้เฒ่าที่หยุดเดิน


เบื้องหน้าคือประตูบานใหญ่ ที่มีอีกาตัวสีดำสนิทสยายปีกอย่างสง่างาม ผืนแผ่นไม้สีขาวยิ่งขับให้รูปสลักนั้นดูทรงพลังมากขึ้น แผ่ราศีบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของผู้อันเป็นเจ้าของได้อย่างไร้กังขา



นัยน์ตาลุกวาวของอีกาดำ แค่มองธรรมดาก็ชวนให้น่าขนลุก


“ชั้นนี้มีสามห้อง ห้องเจ้าเผ่า.. ห้องชางโจ.. และห้องเดิมของเจ้าเผ่า”
ผู้เฒ่าผายมือบอกตำแหน่งให้ชอนจีมองตาม


ชอนจีมองค้างที่ห้องสุดท้ายที่มีความเป็นไปได้ที่สุด หากเป็นอย่างที่คิด ก็ถือว่าได้รับความกรุณายิ่งกว่าที่คิดไว้มาก

“ข้างบนนี้จะไม่พลุกพล่าน เพราะมีแค่คนที่ได้รับอนุญาตขึ้นมาได้เท่านั้น”
ชายชราอธิบายต่อ

“เราไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในที่ส่วนตัว”
แคปเสริมคำ และชอนจีก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

..ก็ไม่ได้อยากวุ่นวายด้วยหรอก

“จริงๆ.. เราอยู่ห้องที่เคยอยู่ก็ได้ ..ก็สะดวกดี

..ไม่หรอก เขาไม่ได้คิดแบบนั้น ข้างล่างนั่นมีแต่ผู้คนไม่เป็นมิตร


“คงจะไม่ได้ เพราะห้องนั้นเป็นของซังฮยอกไปแล้วจากวันนี้
ผู้เฒ่าเอ่ยบอก


“ที่ของนายก็คือห้องนี้”

ชอนจีรีบหันมองตามเสียง และเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจผิด

“ห้อง..เจ้าเผ่า..?”
ชอนจีถึงกับหน้าชา 

ชายชราจับลูกบิดแง้มประตูบานใหญ่เข้าไปด้านในก่อน


“ไหนบอกไม่ชอบให้วุ่นวาย”



...




บานประตูที่ถูกผลักออกไปเป็นเหมือนการเชื้อเชิญและอนุญาต เพียงพ้นกรอบไม้สีทองเข้ามา ชอนจีเป็นต้องได้ตื่นตาอีกครั้ง ทุกอย่างภายในดูยิ่งใหญ่และหรูหรากว่าที่จินตนาการไว้นัก 

“ห้องนี้กว้างพอที่จะแบ่งสัดแบ่งส่วน นายมีที่เฉพาะที่จะไม่รบกวนเรา ..เว้นเสียว่านายตั้งใจ”

สีหน้ายียวนชวนทะเล้นที่ชอนจีไม่นึกสนุกด้วย

อยู่ในฐานะคนของเรา นายต้องพร้อมให้เราเรียกหา มันจึงง่ายกว่าหากอยู่กับเราที่นี่”


ไม่มีแม้สิทธิ์ปฏิเสธใดๆ ความรู้สึกที่หลากหลายจึงถูกเก็บกลืน




“เครื่องใช้ เราเตรียมไว้ในห้องหมดแล้ว
ผู้เฒ่าผายมือชี้ชวนมองยังประตูบานเล็กที่เป็นเหมือนทางเชื่อมไปสู่อีกห้อง




ชอนจีไม่รีรอ ทันทีที่ผู้เฒ่าพยักหน้าเป็นการเปิดทาง สองขาก็ก้าวตรงไปหมายจะสำรวจ





...



“...”


พื้นที่ถูกแบ่งเป็นส่วนของห้องพักเล็กๆ


“เพราะผู้เฒ่าดูแลนายมาบ้าง อาจพอช่วยจัดเตรียมของที่คิดว่าน่าจะจำเป็นได้
แคปบอกเสียงเรียบธรรมดา ระหว่างที่ชอนจีกำลังสำรวจรอบๆ


“...”


ชอนจีได้แต่เงียบ แคปจึงเอ่ยอีกครั้ง

แต่ถ้าขาดเหลือ..
“ไม่.. ไม่เลย เกินพอแล้ว”

ชอนจีสวนไปแบบนั้น เป็นการสร้างรอยยิ้มบางๆให้อีกคน


ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ถูกจัดวางในที่ของมันอย่างเป็นระเบียบ ตู้ใบสูงขนาดกลางเต็มไปด้วยเสื้อ กางเกงแขวนเรียงกันนับสิบ กางเกงชั้นใน เสื้อกล้าม เข็มขัด ถุงเท้า และรองเท้า เตียงนอนหลังกำลังพอเหมาะวางอยู่มุมหนึ่ง ข้างกันเป็นตู้ลิ้นชัก มีทั้งน้ำหอม มีดโกนหนวด จนถึงเครื่องบำรุงผิวต่างๆวางไว้ด้านบน






“เปล่าเลย.. ดีกว่าทุกที่ที่เคยอยู่”




...ดูดีเกินฐานะของผู้อาศัยเสียด้วยซ้ำ

ชอนจีเริ่มรู้สึกผิดที่คิดไม่ดีมาตั้งแต่แรก


ชอนจีสะบัดหน้าไปมา ก่อนส่ายสายตาเหมือนกำลังมองหาบางอย่าง



“มีประตูบานแค่บานเดียว..”

ชอนจีอาจจะแค่เปรย หรือไม่ก็เป็นคำถาม แต่ตากลมที่มองสลับไปมาระหว่างเขาและผู้เฒ่า นั่นน่าจะเข้าใจว่าเป็นอย่างหลัง



“นายขัดข้อง?!

ชอนจีชะงักเมื่อโดนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเผ่าถามกลับมาแบบนั้น เสียงที่เข้มขึ้นพอเดาได้ว่าแคปอาจจะไม่ค่อยพอใจ

“เราไม่ได้หมายความอย่างนั้น..”
เขาได้แต่หลบตาและตอบเสียงอ่อน


แม้จะมีพื้นที่ส่วนตัว แต่จะต่างอะไรกับกรงนกใบใหญ่ที่กักขัง ทุกอย่าง..ต้องผ่านหูผ่านตา ไม่เลย..เขาไม่ได้คิดจะนอกลู่นอกทางหรือหนี แต่การที่ถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ก็ทำให้อึดอัดไม่น้อย

ชอนจีพยายามคิดในทางที่ดีว่าหลังจากนี้ คงไม่ต้องทนเหงาหรือเดียวดายเหมือนตอนที่อยู่โลกภายนอกอย่างลำพังอีกต่อไป แต่นั่น..ก็ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพที่เขาสุดจะหวงแหนพอๆกับชีวิต




...แม้แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นของตัวเองแล้ว อย่าคิดไปถึงอิสรภาพเลย




เขาเผลอถอนหายใจให้กับโชคชะตา ท่าทางคงชัดเจนพอให้ใครอีกคนสังเกตอาการออก


“อย่าทำหน้าแบบนั้น นายไม่ใช่ทาสหรือบริวารเหมือนคนอื่น แต่จะด้วยคำเรียกอะไรก็ช่าง ให้จำไว้เท่านั้นว่านายเป็นคนของเรา มีสิทธิ์ในที่นี้เหมือนเราเหมือนชางโจทุกอย่าง หากพอใจนายอยากออกไปเดิน เหิน หรือเที่ยวเล่นอย่างไรก็ได้ เราไม่ได้ห้ามนี่”
แคปอธิบายไปอย่างใจเย็น


“ไปไหนก็ได้..? ออกไปนอกเคหาสน์ก็ได้หรือ?!
ชอนจีถามอย่างตื่นเต้น


“ที่นี่คงน่าเบื่อเต็มทีสินะ..”


“ไม่ใช่!
ปากอิ่มหลุดเสียงดังอย่างลืมตัว


“เรา.. แค่คิดว่า..ที่นี่ยังไม่ใช่ที่ของเรา หลายครั้งหลายคราวที่อึดอัด คิดถึงที่ที่จากมา ความรู้สึกแบบนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ เราทำตามสัญญาที่ให้แน่นอน แต่ก็ยังต้องการเวลาเพื่อปรับตัวบ้าง  ..ก็เท่านั้น”

ชอนจีผ่อนน้ำเสียงลงปลายประโยค รีบก้มหน้างุดเมื่อรู้ตัวว่าได้พูดอะไรออกไปบ้าง ปากอิ่มมุบมิบก่นว่าตัวเองที่ช่างกล้าไปต่อรองกับเจ้าชีวิตแบบนั้น หากเจ้าเผ่ายิ่งคิดไปว่าเขากำลังก้าวร้าวขัดขืน ดีร้าย..ภัยคงใกล้เข้าหาตัวเร็วกว่าที่คิด


“ฮ่าๆๆ นายพูดตรงเป็นเหมือนกันนี่ เรานึกว่าเก่งแต่อมพะนำเสียอีก”


แคปกลั้วเสียงหัวเราะ ดูอารมณ์ดีผิดไปจากที่คาด


“ทำอย่างกับเราจะขังให้อยู่แต่ในเคหาสน์ ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ..เราดูเป็นคนใจดำขนาดนั้นหรือไง”



“เราขอโทษ..”

เสียงอ่อนที่ตอบกลับ ทำให้แคปยิ่งพินิจวงหน้าที่ซ่อนแววตาเกรงกลัว


“นายเป็นนก เราก็เป็นนก ทำไมเราจะไม่รู้ว่าการได้สยายให้ปลายปีกสัมผัสสายลม ได้โบยบินไปในที่ที่ใจอยากนั้นมันวิเศษขนาดไหน นกที่ไม่ได้โผผินกางปีกก็มีแต่จะเฉาตาย ..เหมือนอย่างนายไง”

แคปจงใจทิ้งท้ายด้วยการกระเซ้า


“เราแค่อยากไปหาใครบางคน บอกให้เขารู้ว่าเราสบายดี เราหายมานานเกินไป ไม่อยากให้เป็นห่วง”

ที่แคปร่ายมานั้นทำให้ชอนจีคลายความกังวลไปได้เยอะ มันเหมือนแคปเข้าใจถึงการมีอิสรภาพจริงๆ ชอนจีจึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะบอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริง



“คนรัก..?”
แคปถาม


ชอนจีส่ายหน้า


“ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ เรียกว่าคนที่เรารักจะดีกว่า นกพิราบอย่างเราไม่มีโอกาสได้ไปผูกสัมพันธ์กับใครหรอก เรามีแค่ยายที่รักที่สุด อย่างที่รู้.. พิราบขาว ใครๆเขาก็..”



นึกอะไรขึ้นได้ ชอนจีจึงหันมาถามแคปกด้วยสีหน้าเครียดและจริงจัง




“จริงสิ.. เจ้าเผ่าไม่รังเกียจเราหรือไง ใครๆก็รู้ว่าพิราบอย่างเราจะเอาวิบัติภัยมาให้”

“เราสอนให้เรียกอย่างไร..?”
แคปขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เอ๊ะ!?”
ชอนจีร้องถามอย่างงุนงง ทั้งที่กำลังพูดเรื่องเป็นเรื่องตาย จะเรียกอะไร..ทำไมต้องสำคัญขนาดนั้น..


แต่สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะตาเขม็งแข็งกร้าวที่ยังจ้องเขาไม่ยอมลดละ
“แคป..”


“ดีมาก...”
ทันทีที่ได้ยินชื่อเรียก เรียวตาก็ปรับโค้งยิ้มอย่างพอใจในทันที




ชอนจีเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ไม่เคยเหนื่อยกับการเอาใจใครขนาดนี้มาก่อน




“เรียบร้อยดีแล้ว เราขอตัว”

ชายชราก้มต่ำทำความเคารพและบอกลาเจ้าเผ่า เมื่อแคปพยักหน้าตอบ เขาจึงหันไปทางเพื่อโค้งคำนับให้ชอนจีในแบบเดียวกัน


“ผู้เฒ่า..!
ปากอิ่มถึงกับอุทานเสียงหลง


รอยยิ้มอ่อนๆระบายบนใบหน้าย่นยับ เพียงเพื่อแสดงถึงความเต็มใจ ของการอยู่ใต้อาณัติโดยสมบูรณ์



...



ห้องเงียบเชียบหลังจากผู้เฒ่าออกไป ชอนจีใช้หางตาแหล่มองอีกคนด้วยความอึกอัก และเหมือนจะเดาใจกันออก ตาเรียวตีโค้งเล็กน้อยรับกับมุมปาก แล้วหันหลังกลับเดินออกไปจากห้องเล็กนั้นไป



.



.



.




ปึง.. ปัง..

คล้ายเสียงจากที่ไกลๆ แต่ก็ดังพอจะทำให้คนที่กำลังเคลิ้มหลับสะดุ้งตื่น ชอนจีถอนหายใจอย่างหงุดหงิด อาจเพราะความกังวลและยังไม่คุ้นชินสถานที่จึงยากสักหน่อยที่จะข่มตาลงได้ แต่ครั้นพอจะเข้าสู่ภวังค์กลับมีเสียงดังเอะอะมารบกวนอีก



ร่างบางยกตัวขึ้นจากฟูกที่นอน ใช้ประสาทการรับฟังจดจ่ออยู่กับสิ่งภายนอก



มีทั้งเสียงโครมครามจากข้าวของ เสียงคนเอะอะพูดซ้อนทับกัน เบาบ้าง หนักบ้าง ฟังไม่ได้ศัพท์




...มีเรื่องอะไรข้างนอกหรือเปล่า?!




คิดได้แบบนั้น เขาจึงรีบแง้มประตูเชื่อมบานเล็กเพื่ออกไปสอดส่องสถานการณ์



“แคป!

ตกใจกว่าเดิมที่เตียงนอนนั้นมันว่างเปล่า และประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดอ้าไว้ ชอนจีจึงรีบถ่อตัวเองหมายจะตามออกไปด้านนอกนั่น





เผียะ..!

“ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร!!

ยังไม่ทันพ้นกรอบประตู ชอนจีได้ยินเสียงเกรี้ยวโกรธที่จำได้ว่านั่นเป็นเสียงของแคป แต่เสียงก่อนหน้านั้นมันเหมือนกับ..



“เฮอะ! ถึงกับตบหน้ากันเลยเหรอแคป! ฮ่าๆๆ ทำเป็นพูดดีนักว่าเป็นห่วงเรา แต่นายเสียเองที่ทำให้เราเจ็บ! คนแบบนี้ยังกล้าพูดว่าเป็นพี่ชายเราอยู่อีกหรือ!!



น้องชายที่กร้าวใส่ไม่แพ้กัน ฟังจากน้ำเสียงคงเมามายไม่ต่างจากวันนั้นเท่าไหร่



“พี่แค่เตือนสตินาย ไอ้พวกฝูงเหยี่ยวมันร้ายแค่ไหนใครก็รู้ ถ้าหากซังฮยอกเอาพวกเราไปช่วยไม่ทัน คิดบ้างหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เลิกเอาแต่ใจเสียที!

“เอาแต่ใจ..? ใครกันที่เอาแต่ใจ เอาพิราบขาวเข้ามาอยู่ในเผ่าเพียงแค่จะเสพสุขส่วนตัว แบบนี้หรือผู้นำ เห็นแก่ตัวชัดๆ!!

“ชางโจ..!!


เสียงเอะอะยังก้องไปทั้งโถง แต่ตอนนี้ชอนจีกลับไม่ได้ยินในถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว เพราะคำพูดสะกิดใจเช่นนั้นทำให้เขาเลือกปิดการรับรู้ทั้งหมด มีเพียงความคิดในหัวที่ยังวิ่งวน ในความจริงที่ว่าพิราบขาวอย่างตนจะนำพาหายนะมาแกผู้ร่วมอาศัย การจะถูกรังเกียจขับไล่จึงเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว แต่ในทุกครั้งที่ถูกตอกย้ำ ทำไมจิตใจไม่ยอมเคยชิน ซ้ำยังน้อยใจและเจ็บปวดกับโชคชะตาของตัวเอง



หากมันเลวร้ายขนาดนี้ ทำไมถึงเลือกให้เขาอยู่ วิธีชดใช้บุญคุณมีอีกตั้งมากมาย ทำไมต้องด้วยวิธีนี้




“ได้ยินหมดแล้วสินะ..”

“..!..”

ชอนจีสะดุ้งโหยงเมื่อความคิดถูกเสียงหนึ่งขัดจังหวะ กรอบหน้าเรียวก้มมองต่ำหวังใช้เป็นที่ซ่อนแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

แค่นั้นก็แทนคำตอบได้ดี แคปดึงบานประตูปิดลงจนสนิท เดินไปทางโซฟาใหญ่ใกล้หน้าต่างแล้วทิ้งตัวลงเต็มน้ำหนัก ลมหายใจชุดใหญ่ถูกปล่อยพรูจนได้ยินไปทั่วทั้งห้อง เมื่อชอนจีลอบมอง เขาก็เห็นแต่ความกังวลบนใบหน้าที่ไม่ต่างกับตัวเอง



“แคป.. ทำไม..”
“ขอน้ำสักแก้วสิ”

แคปไม่ยอมสบตา ไม่ใช่เพราะไม่สนใจสิ่งที่เขากำลังจะถาม แต่แคป..คงไม่อยากตอบคำถามพวกนั้นมากกว่า ..ชอนจีคิดเช่นนั้น

ไม่กี่พริบตาแก้วน้ำก็ถูกเสิร์ฟมาตรงหน้า แคปเอื้อมมือไปรับพร้อมกล่าวคำขอบใจ จังหวะที่เห็นว่าร่างบางกำลังจะหันกลับ


“นั่งข้างๆสิ”


มือหนาตบเบาะโซฟาเบาๆเป็นการส่งสัญญาณ ชอนจีพยายามอ่านแววตานั้นก่อนชั่งใจ ครู่หนึ่งเขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย


ถึงจะนั่งเคียงข้างแต่ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรต่อ แคปยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแล้ววางมันไว้ข้างตัว เอนหลังพิงพนักจนยวบ ชอนจีที่นั่งข้างๆก็ไม่มีที่ท่าจะปริปากถามอะไรอีก ทุกอย่างจึงเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ไหล่เล็กปล่อยตัวลงพิงพนักอย่างผ่อนคลายเช่นกัน เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะรู้สึกหนักช่วงหัวไหล่  ..ศีรษะใครบางคนที่จรดลงมา



“ขอยืมหน่อย..”
แคปเปรยคำขออนุญาตเบาๆแล้วก็นิ่งเช่นเดิม


“...”
แคปทิ้งคราบของผู้นำเผ่า เวลานี้ข้างกายชอนจีมีเพียงชายหนุ่มธรรมดาที่ดูเหมือนแบกอะไรไว้ทั้งโลก นั่นทำให้เขานึกอยากบรรเทา



แขนอีกข้างที่ยังเป็นอิสระ ชอนจียกมันวาดผ่านวงหน้าที่ยังวางอยู่บนหัวไหล่



“อาจจะช่วยให้ดีขึ้น..”



เขาเว้นจังหวะ รอฟัง..



ต่อเมื่อเจ้าของศีรษะไม่มีปฏิกิริยาขัดขืน กลับหลับตาพร้อมรับสัมผัสที่เขายินดีมอบให้





“ยายจะทำแบบนี้ ..เราว่ามันได้ผล”

ปากอิ่มว่าพลาง เรียวนิ้วลองสอดผ่านเบาๆลงบนกลุ่มผมดำสนิทอย่างกลัวๆกล้าๆ ค่อยๆแทรกเรือนผมตั้งแต่ช่วงกระหม่อมไล่เรื่อยจนถึงท้ายทอยอย่าเบามือ  ..ซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก

“ปลายนิ้วอุ่นๆของยาย ทำให้โลกมันเล็กลงได้นะ เราเลยรู้สึกว่าปัญหามันก็เล็กลงตามไปด้วย  ..อย่างน้อยก็ตอนนั้น”

ไม่นานจังหวะการหายใจเริ่มสม่ำเสมอ ทำให้เดาไม่ยากว่าแคปคงหลับไป ไหล่มนที่เริ่มรู้สึกปวดไม่กล้าแม้แต่กระถดออกห่างเพราะเกรงว่าจะทำให้ตื่น

ตากลมพินิจมองกรอบหน้าในระยะใกล้ แคปดูเหมือนเด็กน้อยที่ไร้พิษสงอย่างสิ้นเชิงในเวลาหลับใหล คิ้วที่เคยขมวดดูโค้งได้รูปรับกับความยาวของดวงตา ปลายจมูกยกสูงขับให้ดูคมคาย ริมฝีปากบางเหยียดทำให้ใบหน้านั้นดูนุ่มนวล ไม่ได้น่ากลัวเกรงเช่นเวลาปกติ




“อืม...”



ชอนจีรีบมองตรงเบนสายตาหันหนีทันทีเมื่อศีรษะนั้นเริ่มขยับ หากแคปจะมองกลับมาแล้วพบสายตาที่มองจ้องอยู่ ก็ไม่รู้จะมองหน้ากันอย่างไร


“จะมองเราก็อีกก็ได้ จะได้ชิน..”


ตากลมเบิกโพล่ง แคปช่างพูดอย่างไม่เคอะเขินทั้งที่เขาเอาแต่ใจเต้นระส่ำ


“มองเราสิ.. นี่คือคำสั่ง”

น้ำเสียงไม่ได้กรรโชก กลับฟังรื่นหูราวกับคำอ้อนวอนมากกว่า ชอนจีปรับใบหน้าหันกลับไปหาช่วงไหล่ที่ยังมีศีรษะของใครคนนั้นวางอยู่



“...”

สายตาที่รอคอยอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ยิ่งประหม่า แคปเบี่ยงองศาจนเขาไม่กล้าหันไปมากกว่านี้






“เทนจิ..”

“..!..”





ริมฝีปากบางเหยียดตรงเข้าจู่โจมจรดสัมผัสโดยที่ไม่ทันตั้งตัว





สัมผัสอุ่นชื้นกักกั้นดูดกลืนเสียงอุทานไว้ไม่ให้เปล่งผ่านออกมา




.



.



.




“นายไม่น่าพูดไปแบบนั้น..”

“..!..”

มือที่กำลังแตะแต้มปลายสำลีไปตามร่องรอยบาดเจ็บ ถูกมือหนาของชางโจยึดไว้ในทันที


“เรื่องคนของแคป ทำไมไม่บอกเรา!
ชางโจยิ่งกระชับข้อมือนั้นแน่น


“อ่อ.. เก็บไว้ให้นายประหลาดใจตอนเห็นกับตาเองไม่ดีกว่าหรือ”


ซังฮยอกยังยิ้มสู้ เหมือนไม่ยี่หระกับอารมณ์ของชางโจ


นั่นยิ่งเป็นการบันดาลโทสะ ชางโจจับไหล่คนตรงหน้า ผลักราบลงกระแทกกับฟูกที่นอนก่อนยกตัวขึ้นคร่อม


“อย่าเห็นเราเป็นตัวตลก!!
คำตะหวาดสาดใส่คนใต้ร่าง สองมือยังออกแรงบีบและกดจนไหล่นั้นจมลงกับฟูก


ซังฮยอกนิ่วหน้า พยายามเก็บอาการเจ็บร้าวหัวไหล่


“เหอะ.. แล้วมันจำเป็นตรงไหน หรือยังตัดใจไม่ขาด..”
ซังฮยอกยังสนุกกับการปั่นอารมณ์ของชางโจ ไม่ได้เกรงกลัวกำลังที่มากมายนั้นเลย


“นาย!!


มือหนาผละจากไหล่ไปที่ลำคอ ใช้แรงทั้งหมดที่มีโอบรัดจนซังฮยอกเริ่มสีหน้าแดงเผือดจนคล้ำ เส้นเลือดปูดโปน ดวงตาแดงเรื่อ จ้องมองชางโจอย่างผิดหวัง ปลายตาที่มีน้ำเอ่อมันรื้นขึ้นจนล้นไหลพรากลงข้างตา



“ชะ ชาง..โจ!
เสียงเรียกติดขัดเพราะลำคอยังถูกรัดแน่น



อาจเพราะน้ำตาหรือคำเรียกที่อ้อนวอน.. ปีศาจในตัวจึงสลายหายไปได้ในที่สุด ชางโจรีบดึงมือกลับ ทันทีที่ได้สติ เนื้อตัวกลับสั่นเทิ้ม ตระหนกกับการกระทำของตัวเองที่เผลอทำร้ายจนแทบแหลกคามือ




“ขอ..โทษ..”

ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงบนแผ่นอกคนข้างใต้ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาง่ายไม่ต่างกัน



“แคปเองก็คงเสียใจที่พลั้งมือไปเมื่อครู่ นายกับพี่ชายก็ไม่ต่างกันนักหรอก เชื่อเราสิชางโจ ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน เพียงแต่เราอาจจะยังไม่รู้..”



ชางโจที่อารมณ์สงบลงไปมาก กำลังนิ่งฟังพร้อมกลั้นเสียงสะอื้น



วินาทีที่ร่างกายได้แนบชิด พอที่จะทำให้ได้กลิ่นกรุ่นจากร่างกายที่ไอร้อนขับออกมา กลิ่นที่คุ้นเคย แม้จะห่างหายแต่ก็ยังจำได้ดี กลิ่นหอมในแบบเฉพาะเรียกความรู้สึกเดิมๆให้กลับมา




นี่อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม..



ปลายจมูกแหลมเคลื่อนฝังลงตรงซอกคอขาว ยิ่งทำให้รับสัมผัสของกลิ่นนั้นได้ชัดเจน จิตใจที่กำลังเว้าแหว่งทำให้การยับยั้งชั่งใจถูกบั่นทอนลงมาก รู้เพียงแค่อยากกอบโกย โหยหาความสุขเข้ามาทดแทนและเติมเต็ม







“...เทนจิ”









-TBC-




>>> INFINITE"Back" 

>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"





           
คุยๆ:  นี่ก็ตอน4เข้าไปแล้ว ตั้งใจว่าจะแค่5ตอนจบ แต่ดูแล้วน่าจะยาวกว่านั้น จะแต่งให้จบ5ตอนก็ได้ แต่เราว่ามันกลวงไป มันไม่สนุก ถึงตอนนี้คงเริ่มสงสัยอะไรกันขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ย รออ่านต่อไปเดี๋ยวก็รู้วววว ^~^









2 comments:

  1. โอยยยยยย อะไร ใครคือ เทนจิ =*=
    แล้วทำไมสองพี่น้องต้องเอ่ยนามนี้ทั้งคู่
    เอาแล้วๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆเลย
    ต้องแบกความสงสัยอีกนานแค่ไหนคะ *ถามลอยๆ* >___<

    ReplyDelete
  2. งื้ออออ ใครคือเทนจิ? ทั้งพี่ทั้งน้องเลย ทำเคลิ้มไปทั้งคู่เลย เพราะชอนจีเหมือนเทนจิใช่มั้ยชางโจถึงได้ตกใจขนาดนั้น ?

    ReplyDelete