CAN YOU SAVE ME - Part 3 -




Crescent







“เราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหม..?”


..แค่อยากลองหยั่งเชิงดู


ซังฮยอกยิ้มรับแทนคำตอบ ก่อนจะเดินนำออกไป



. . .


ลมเย็นพัดผ่านผิวหน้าและกายทันทีที่เดินพ้นชายคาของเคหาสน์ เบื้องหน้าคือสวนกว้างที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กจัดวางและตกแต่งกิ่งก้านได้รูปอย่างพอเหมาะ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี คงความเป็นธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ เสริมเสน่ห์ยามรัตติกาลด้วยดวงไฟเล็กๆ ประดับประดาแซมอยู่ตามพุ่มตามโคน


รู้สึกผ่อนคลายในทันที เป็นความสงบและสบายใจเพียงได้เปลี่ยนบรรยากาศ กลิ่นหอมหวนที่ไร้การปรุงแต่งของทั้งดินและแมกไม้ ช่างเย้ายวนใจเหมือนได้เติมพลังให้ได้กระปรี้กระเปร่า อากาศที่สูดเข้าไป ชำระความอึงอลในใจได้เกือบสิ้น ..อย่างน้อยก็นาทีนี้


“ไปตรงนั้นกัน ไม่รกตาเกินไป”


ชอนจีไม่รู้สึกว่าแถบนี้จะมีตรงไหนดูรกตาอย่างที่ว่าเลยซักนิด ซังฮยอกคงว่าไปตามประสาคนคุ้นเคยสถานที่ ชี้ชวนให้มองตามนิ้วไปยังซุ้มที่นั่งเล็กๆ


ตากลมยังคงส่ายมองรอบตัวด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆภายใต้เงาไม้ใหญ่ที่แผ่วงกิ่งก้านสาขา แสงอ่อนๆทำให้ที่นี่ช่างดูอบอุ่นและปลอดภัย


เขาเพลิดเพลินกับสวนสวยจนลืมสังเกตว่าซังฮยอกยืนผายมือส่งยิ้มเป็นการเชิญตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


“ขอโทษที”
เอ่ยอย่างเกรงใจแล้วหย่อนตัวลงนั่งไปก่อน

“ไม่เป็นไร.. ใครๆก็เพลินกับที่นี่กันทั้งนั้น”

“เหมือนโดนมนต์สะกด”
ชอนจีรีบเสริม

ซังฮยอกยิ้มรับอย่างพอใจ กวาดสายตาไปโดยรอบ พลางว่าต่อ
“สวนนี้โปรดปราณกันมาตั้งแต่เจ้าเผ่าคนก่อน..”


“มันเคยมีชีวิต..”

ไม่ทิ้งให้ชอนจีต้องสงสัยนาน ซังฮยอกอธิบายต่อ

“หากมีเวลา ท่านเจ้าเผ่าเป็นต้องชวนบริวารมาสังสรรค์ด้วยกันในสวน กิน.. ดื่ม.. ร้องรำทำเพลง ให้ความสนิทสนมราวกับพี่น้อง”


ซังฮยอกเว้นช่วง


“แต่ตอนนี้ ที่นี่เปรียบได้เหมือนสุสาน”

“มีคนตาย..?”
ชอนจีถึงกับหน้าถอดสี


เพราะเกลือเป็นหนอน โดนลอบทำร้ายจากสหายที่ไว้ใจที่สุด เราจึงสูญเสียเจ้าเผ่าในที่แห่งนี้ ทุกคนเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ..โดยเฉพาะแคป”


“แคป..?”
ชอนจีทวนคำ

“ทายาทที่มีสิทธิ์รับช่วงต่ออย่างถูกต้อง ..เจ้าเผ่าของพวกเราตอนนี้”


กับคนที่ผู้เฒ่ากล่าวถึง จะใช่คนเดียวกันหรือไม่


“แคปรักที่นี่มากกว่าใคร แต่หลังจากเรื่องวันนั้น แทบไม่มีใครได้เห็นแคปเหยียบที่นี่เลย..”


ชอนจีพินิจแววตา สัมผัสข้างในนั้น ..ทุกอย่างมันคือของจริง


“กับบทเรียนครั้งนั้น.. และภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ ความไว้เนื้อเชื่อใจในบริวารจึงถูกลดทอน เกิดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ใต้อาณัติอย่างชัดเจน  


ซังฮยอกถอนหายใจตัวโยนอีกครั้ง



ไม่มีใครปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น.. 




“แต่ก็ช่วยไม่ได้”

ซังฮยอกยกไหล่แบบไม่ยี่หระ 


แววตานั้นเปลี่ยน บรรยากาศเมื่อครู่ถูกลมหอบพัดไปที่อื่นเสียหมด เปลี่ยนแปลงเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน 

แต่ก็ช่าง.. มันยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ



“นายคงรู้จักเจ้าเผ่าดี..”
ชอนจีได้ทีรีบเข้าประเด็น อาจจะไม่ใช่เรื่องดีที่จะใช้เวลาสนทนากันอยู่ตรงนี้ทั้งคืน

“ตลกดี.. ทำไมใครๆถึงคิดแบบนั้น”
เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ

ซังฮยอกจงใจปฏิเสธความคิดนั้น

“เราก็เหมือนกับทุกคนที่มาขอพึ่งพาบารมีให้พอได้มีที่คุ้มกะลาหัว เรายังต้องเจียมตัวในฐานะผู้อาศัย”

“สิ่งที่นายกำลังจะถาม..ไม่สำคัญว่าเราจะรู้หรือไม่ เราเพียงไม่ได้อยู่ในส่วนที่จะตอบอะไรแก่นายได้เหมือนกับคนอื่นๆ ต่างคนก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเท่านั้น ไม่ทำเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตน ..มันเป็นกฎของการอยู่ร่วมกันที่นี่”


ซังฮยอกปิดกั้นทุกคำถามจนหมดราวกับหยั่งรู้ความคิด


“นายรู้...?”

“แววตาของนายมันซื่อสัตย์เกินไป”


ชอนจีหลุบมองต่ำทันที มุมปากที่ยกยิ้มน้อยๆนั้นทำให้เขารู้สึกเสียหน้า คนที่นี่ฉลาดเกินกว่าจะรับมือไหว รู้ทันไปเสียหมด

หมดหวังอีกครั้ง คงต้องยอมรับหากว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะรู้มากหรือน้อย รู้เร็วหรือช้า ก็ใช่ว่าจะทำอะไรที่ต่างไปจากนี้ได้

“ขอโทษ.. หากทำให้ต้องผิดหวัง”
ซังฮยอกว่าไปทั้งที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย

“ขอโทษเช่นกันที่คิดจะหลอกถาม”
ชอนจีได้แต่ก้มหน้าก้มตาสารภาพ


อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง
“นายน่าคบกว่าที่เราคิดเสียอีก”

ชอนจีรีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
“อย่าเลย เรามันพาหะความโชคร้าย”



บทสนทนาถูกความเงียบเก็บกลืน



ซังฮยอกได้แต่มองใบหน้าสลดนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเราไม่ลืมเรื่องนี้เสีย มีเรื่องตั้งเยอะแยะให้เราได้คุยกัน”


“...”
กรอบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผมปรกเชยมองกลับมาที่ซังฮยอกอีกครั้ง


ไม่เข้าใจหรือไง เราเป็นตัวเดือดร้อน



“คงเพราะถูกชะตา น่าจะดี..ถ้าได้รู้จักกันมากกว่านี้”


การรู้จักประนีประนอม หว่านล้อม รู้จังหวะผ่อนหนักผ่อนเบา เอาชนะใจคู่สนทนาได้ไม่ยาก

“เราไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด เป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปวันๆ มีลมหายใจเพื่อใครบางคน..”

“คนรัก..?!”
ซังฮยอกสวนกลับอย่างตื่นเต้น


“จงเป็นทั้งคนที่ได้รัก และถูกรัก ..ย่าสอนเรามาแบบนี้”
ชอนจีตอบเสียงเรียบ


' อย่าน้อยใจในโชคชะตา อย่าเสียใจกับชาติกำเนิด คนเราเกิดมาเพื่อมีค่ากับใครสักคนเสมอ จงอยู่เพื่อจะได้เจอเขาแล้วเจ้าจะพบความสุขแท้จริง '


“ทั้งชีวิต ย่าคือสิ่งมีค่าที่สุด”


..เพียงคนเดียวที่เป็นทั้งคนที่เขารักและรักเขา


‘ วันที่เจ้ามีความสุข ย่าก็จะสุขไปด้วย ’


“เราต้องมีความสุขให้ได้สักวัน ..สักวัน”



ความเป็นพิราบขาวทำให้คนรอบตัวต้องเดือดร้อน พลอยถูกรังเกียจ ถูกขับไล่ไปด้วย การเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง แบบไร้มิตรและเครือญาติ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

โลกที่ต้องเผชิญอย่างโดดเดี่ยวช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง โลกของความเป็นมนุษย์..มันช่างเงียบเหงา ต่างกับอีกโลก..ที่เขาสามารถโบยบินได้อย่างใจ


ซังฮยอกมองใบหน้าที่กำลังครุ่นคิด 

“แต่ละชีวิตก็มีความพิเศษที่ต่างกันไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนธรรมดาหรือไร้ค่าหรอกนะ หาสิ่งนั้นในตัวเองให้เจอ ..แล้วจะพบกับความสุขเอง”


ความเชื่อที่ว่า.. มิตรภาพที่ก่อตัวในสถานการณ์คับขัน อาจเป็นมิตรภาพที่แท้จริง 

..แต่มันยังต้องการเวลาเพื่อพิสูจน์


...



การพูดคุยกันดำเนินต่อไปอีกระยะ เสียงหัวเราะที่ลอยตามลมให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ท่ามกลางความสงัดในยามวิกาล หลังกรอบหน้าต่างจากชั้นบน เจ้าของเรียวตาคมยืนสังเกตการณ์ภายใต้เสื้อคลุมเนื้อหนามาได้ครู่ใหญ่ มุมปากข้างหนึ่งยกยิ้มอย่างพึงพอใจ



.


.


.



เสียงกุกกักปลุกร่างที่หลับลึกให้ตื่นลืมตา

“ขอโทษนะ ที่ต้องปลุกเวลานี้”
เสียงเรียบที่คุ้นเคย แค่ผิดเวลาไปจากทุกวัน

ชอนจีปรือตามองรอบตัว ในห้องยังคงสลัวเพราะยังไม่ได้เวลาที่พระอาทิตย์จะส่องสว่าง เห็นผู้เฒ่าที่กำลังขะมักเขม้นกับการจัดข้าวของ

..ที่ดูเหมือนจะเป็นของเขาเสียด้วย

ด้วยสัญชาตญาณ ชอนจีจึงต้องกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตัว

“จะไปไหนกันอีกหรือครับ!
ชอนจีถามด้วยท่าทีตระหนก

“อาบน้ำเสียก่อน นี่เสื้อผ้า  ..เช้านี้นายมีนัด”
ผู้เฒ่าว่าพลางก็ตบลงเบาๆบนชุดที่พาดอยู่ขอบที่นอน

“มีนัด..?  หรือว่า..!”
“อืม”


ชอนจีเด้งตัวจากที่นอน หยิบของจำเป็นตรงเข้าห้องน้ำอย่างกุลีกุจอ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเจอกับอะไร เพียงแค่นึกว่าวันนี้จะมีอะไรพิเศษกว่าทุกวัน ใจดวงเล็กก็เต้นตูมตามอย่างเริงร่า


...


ผู้เฒ่ามองสำรวจเด็กหนุ่มหัวจรดเท้า ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง



“ไร้ที่ติ..”

ใบหน้าเรียบเฉยค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มอย่างพอใจ


...


ตั้งแต่ประตูห้องเปิดออก ความอึดอัดก็พุ่งเข้าใส่ในทันที ไม่มีสายตาคู่ไหนผ่านเลยไปโดยไม่หยุดมอง ชอนจีไม่คุ้นชินกับการเป็นจุดสนใจแบบนี้

ผู้เฒ่าเดินนำไปตามทาง.. ที่เขาเพิ่งจะเดินผ่านมาเมื่อคืน ทางที่จะพาออกไปยังสวน และก่อนจะพ้นเชิงชายผู้เฒ่ายังหันมาสำรวจและยิ้มให้อย่างพอใจอีกครั้ง สร้อยโลหะรูปร่างแปลกตาถูกหยิบออกมาจากถุงผ้าเล็กๆ ประคองไว้ด้วยฝ่ามือเหี่ยวย่นนั้นอย่างถนอม


“นับจากนี้ให้ติดตัวไปตลอด เพื่อมันจะได้คุ้มครองนาย”


ชอนจียื่นมือไปรับสร้อยเส้นนั้นมาสวม อาจเพราะความสวยงามทำให้ไม่นึกปฏิเสธ


“ได้เวลาจริงๆแล้วนะ”


ผู้เฒ่าตบบ่าชอนจีเบาๆ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้จำคำเราให้ดี ตราบใดที่ยังรักษาสัญญา นายจะได้ทุกอย่างมาครอบครองโดนไม่ต้องร้องขอ”


ชอนจีพยายามหาคำอธิบายในดวงตาสีอมเทา 


“ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง..”

“พระเจ้าเท่านั้นที่รู้”



เกิดความกลัวขึ้นจับใจ อยากยิ้มเยาะตัวเองเสียเหลือเกิน คำพูดสิ้นคิดเพียงแค่อยากมีชีวิตรอด กลายเป็นเงื่อนเส้นใหญ่ใช้มัดตัวเองจนไม่มีทางดิ้นหลุด 


..ราวกับถูกปิดตาแต่ก็ยังต้องเดินต่อ



ชอนจีสูดอากาศเพื่อเรียกกำลังใจ

“ต้องทำอะไรบ้าง”



มือย่นประคองไหล่เล็กเข้าหาตัว สวมกอดอย่างแนบแน่น กายอุ่นช่วยให้ใจสงบลง 


ในบางครั้ง.. ด้วยภาษาสัมผัสอาจใช้ได้ดีกว่าคำพูด



“ทำใจให้พร้อม จากนี้จะไม่มีทางให้นายหันหลังกลับ”


เหมือนคำบอกลาก่อนผลักเขาลงสู่หุบเหว

..คิดอย่างนั้นได้หรือไม่


“ตราบเท่าที่ยังรักษาสัญญา ไม่มีอะไรต้องให้ห่วง”
เสียงแหบพร่าของชายชราตอบกลับสายตาที่มองเขาต่างออกไป

หลังจากนี้.. นายต้องไปอยู่กับผู้ดูแลคนใหม่ ด้วยสถานะใหม่”

“เราจะได้เจอกันอีกไหม..?”

“แน่นอน.. แต่คงมีบางอย่างที่ต่างไป นายจะรู้เอง”

ชายชราจับไหล่บางหันไปสู้แสงด้านนอก เส้นทางข้างหน้าที่ต้องก้าวออกไปเผชิญด้วยตัวเอง ไม่มีสิทธิ์หยุด ..หรือหันหลังกลับ

“ทำหน้าที่ของนายให้ดีที่สุด  ..อยู่เพื่อคนที่รัก”



ชอนจีถูกดันหลังให้เดินออกมาด้านนอก เสียงอื้ออึงจากเหล่าคนแปลกหน้ายิ่งเพิ่มความกังวลจนไม่กล้าสู้หน้าใคร ที่พึงพาเดียวคือฝ่ามืออุ่นที่ยังคอยประคองอยู่ด้านหลัง 




“...”

สัมผัสนั้นหายไป เขายังคงก้มมองแค่ปลายเท้า




“ขอบใจผู้เฒ่ามาก ที่ดูแลคนของเราเป็นอย่างดี”

เสียงทุ้มต่ำ แต่ทว่าหนักแน่น



“ขอเรามองหน้าชัดๆ”




เสียงใกล้เข้ามาอีก เห็นปลายเท้าอีกคนมาจรดลงตรงหน้า ข้างแก้มรับสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือหนาที่ประคองมันไว้


“โอ้ย..!!
ไม่ทันระวัง กรอบหน้าถูกเชยขึ้นอย่างแรง ..แรงจนปวดเกร็งต้นคอ


“เราไม่ชอบพูดซ้ำ!



ความทรงจำเลือนราง..ชัดขึ้นเช่นกัน ชายตรงหน้าคือคนที่ช่วยเขาไว้จริงๆ



ชอนจีมีเพียงความว่างเปล่าตอบโต้สายตาคมเกรี้ยว 

..หารู้ไม่ว่ามันยิ่งเป็นการโหมอารมณ์



“กล้าเมินเรา อวดดีเสียด้วย..”
“หาเรื่องกันหรือเปล่า เรายังไม่ได้.. !

ช่วงกราม ถูกบีบซ้ำด้วยมือข้างเดิมจนหน้าเหยเก

“..ทำตัวดีๆ แล้วทุกอย่างจะไปได้สวย..”
ริมฝีปากเรียวพูดชิดใบหูนิ่มจนพาให้ขนลุก


ชอนจีพยายามส่งสายตาอ้อนวอนไปยังชายชราที่ยังยืนอยู่ แต่ก็ไร้ผล เมื่อผู้เฒ่าก็เอาแต่หลบตาเขาเช่นกัน



มือหนาผ่อนแรงลง แต่ยังคงยึดกรอบหน้านั้นให้เชิดขึ้น

“ทุกคนเรียกเราว่าเจ้าเผ่า แต่สำหรับนาย เรายินดีให้เรียกแค่ชื่อ..”


‘ ต้องถือว่าเป็นบุญคุณด้วยไหม! ’

ชอนจีนึกรังเกียจรอยยิ้มนั้น


“ลองเรียกชื่อเรา..”



“..แคป”

ริมฝีปากยังสั่น 


“โอ้ย!!
ชอนจีร้องเสียงหลงอีกครั้ง เมื่อต้นแขนถูกกระชากเข้าหาร่างสูงใหญ่อย่างไม่ออมมือ



“ เพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน เราจึงเรียกทุกคนมาที่นี่ เคหาสน์เราเพิ่งได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ คงรู้กันดีอยู่แล้ว ที่อยากจะบอกก็คือ.. จงให้เกียรติเด็กหนุ่มคนนี้เหมือนที่ให้เกียรติเรา ช่วยเหลือ ดูแลเขา เยี่ยงที่ปฏิบัติต่อเราเช่นกัน 



ไหล่บางของชอนจีถูกกระชับให้เข้าใกล้กันอีกนิด


“ ไม่จำเป็นต้องมีความเห็นหรือข้อสงสัยใดๆ ”



เผด็จการ 



“แนะนำตัวเองให้ทุกคนรู้จักนายบ้างสิ”
แคปเอ่ยเสียงราบเรียบธรรมดา

“เรา.. ชอนจี ขอความกรุณาแก่ทุกคนด้วย”

ชอนจีกำลังจะโน้มตัวแต่กลับถูกแคปรั้งไหล่ไว้

“ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใคร”
เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ



“ เรื่องสำคัญ.. ขอให้ทุกคนเปิดใจยอมรับชอนจีเสมือนพวกพ้อง เราเข้าใจว่าหลายคนกำลังกังวล หรือกลัวต่อคำบอกเล่าต่างๆที่เคยได้ยิน เราในฐานะผู้นำ ขอบอกต่อหน้าทุกคนว่า เราจะไม่ยอมให้เรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นกับบริวารของเราเป็นอันขาด เผ่าของเราจะต้องสงบสุข แน่นแฟ้น มั่นคง เหมือนเช่นที่เป็นอยู่ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้นำ เราขอรับประกัน ..ด้วยชีวิตของเรา ”


“...”
ชอนจีจ้องมองใบหน้านั้นด้วยความสับสน


“ ..คุณชอนจี.. ”

ทุกคนพร้อมใจกันโน้มศีรษะ เพื่อแสดงถึงความเคารพ



.  .  .




เมื่อบริวารกระจัดกระจายไปหมดแล้ว มือแข็งแรงคลายลง ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ



“ลองมองรอบๆสิ”


ชอนจีส่ายตามองตามเพราะเข้าใจว่านั่นคือคำสั่ง

ใบหน้าหวานดูจะคลายสีหน้า เขาเพิ่งประทับใจในความสงบเย็นไปเมื่อรัตติกาล แต่เทียบกันไม่ได้เลย เมื่อเข้าสู่อรุณในทิวา 

เส้นแสงอ่อนๆกระทบหญ้าใบดอกใบให้ขับสีสันจนดูเด่น ก่อนแทรกตัวตามช่องว่างหาทางสัมผัสผืนดิน ก่อการกำเนิดสิ่งใหม่ ไอระเหยจากดินและน้ำค้าง เสียงเหล่านกนานาส่งเสียงเริงร่าท้าทายพระอาทิตย์ 



ชอนจีปิดเปลือกตารับกลิ่นธรรมชาติที่โหยหา สูดออกซิเจนปลุกพลังชีวิต สยายปีกในความนึกคิด บินสูงขึ้นรับไออุ่นจากแสงแดด


“มีความเจ็บปวด ในลมหายใจ


ราวกับปีกถูกฉุดจากการโบยบิน


ทุกคนต่างก็มีบาดแผลด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะมองมันเห็นหรือไม่ก็ตาม




เพียงแค่ฟังก็คงยังไม่เข้าใจหากไม่ได้รู้เรื่องราวมาก่อน เห็นความอ่อนไหวในแววตานั้นจนพาลสับสน ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับคนแข็งกร้าวที่ยึดแต่ตัวตนเมื่อครู่



เรียกชื่อเราอีกสักครั้ง..



ช่างใจอยู่ครู่



แคป..




เอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่ชอนจีก็ยังได้เห็นเรียวปากนั้นแย้ม มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยพอให้รู้ว่าพอใจ ผิดกับนัยน์ตาที่เมฆหมอกบดบังจนหม่นแสง







แคปเปลี่ยนเป้าหมาย จากดวงตากลมวาว ไล้เรื่อยถึงปลายคาง และหยุดตรงวัตถุต้องแสง มือหนายื่นจับจี้โลหะรูปพระจันทร์เสี้ยวที่ห้อยไว้กับสร้อยทองคำขาวลงลายฉลุ

เผลอยิ้มกว้างให้กับท่าทางของคนตัวบางที่ดูเกร็งเล็กน้อยเพราะความไม่คุ้นเคยกัน แอบพินิจลำหอระหงที่ช่างเข้ากันกับเครื่องประดับชิ้นงาม




“เหมาะกับนกน้อยของเราจริงๆ”



...




ตาคมอีกคู่กำลังจับจ้องวัตถุในมือแคป


“จะมีความหมายอะไร ในเมื่อจะยกให้ใครก็ได้”

ซังฮยอกนึกขำในความคิดเด็กๆแบบนั้น คงเป็นเรื่องธรรมดากับคนที่เคยเป็นคนสำคัญ

“เสียมารยาทนะ”

ทำเอาชางโจหันขวับ

“ไม่ยอมลงไป แต่ก็ยังแอบมอง”
ซังฮยอกท้วงคนที่กำลังยืนอยู่หลังม่านหน้าต่าง


“ถ้าไม่เลิกบ่นก็ออกไป”
หงุดหงิดที่โดนตำหนิ

“นายก็หยุดทำตัวมีปัญหาเสียสิ”

เหมือนเป่าถ่านให้ยิ่งร้อน


“เรากลายเป็นตัวปัญหาไปแล้ว!

“ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่..”

“เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่! แค่ลูกที่พ่อไม่รัก เก่งสู้แคปไม่ได้ ไม่ฉลาดเจ้าเล่ห์ เอาใจใครไม่เป็น เทียบกับเจ้าเผ่าไม่ได้เลยสักอย่าง หากไม่มีน้องชายแบบเราก็คงดีกว่านี้ นายก็คงเบื่อเต็มทีที่ต้องเป็นเพื่อนกับเรา!!”



ผัวะ!!



หมัดหนักสวนคำ หยุดเสียงโวยอย่างได้ผล ชางโจลงไปราบกับพื้นไม่ทันระวังตัว


“ช่วยมีสติกว่านี้หน่อย!! ถ้ายังเอาแต่โทษคนอื่น นายจะเป็นคนไม่รู้จักโตอย่างเขาว่า นายเป็นคนมีเหตุผล แต่ทำไมไม่รู้จักใช้มัน อย่าปล่อยให้อารมณ์มาปิดหูปิดตาสิ!


มือที่กำหมัดยังสั่น ซังฮยอกเสียงดังอย่างเหลืออด 



“นายรู้จักพี่ชายตัวเองดีที่สุดแล้ว ..ชางโจ”


ชางโจยันตัวขึ้นจากพื้น ยกมือปัดป้ายหยดน้ำที่รื้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว 


เขาเหมือนคนอ่อนแอทุกครั้งที่แง้มหลุมดำในใจ 



ร่างสูงเดินจ้ำอ้าวปิดกระแทกประตูออกไป  ..โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ











-TBC-



>>> INFINITE"Back"

>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"




           
คุยๆ: แหะๆ ไม่มีข้อแก้ตัว ห่างกันไปแบบคนเขียนเองยังต้องไปไล่อ่านตอนเก่า 555 อยากให้ตอนหน้ามาไวกว่านี้เนาะ ^~^






4 comments:

  1. สงสารชางโจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจ T____T
    ทำไมแลดูเป็นเด็กมีปัญหา 5555555555
    แคปเปิดตัวคุณชอนจีละ แล้วคุณชอนจีต้องดำเนินชีวิตยังไงต่อละเนี่ย
    เป็นคนของเจ้าเผ่าต้องทำอะไรบ้างน้อ...... คิคิ >__<
    รอตอนต่อไปนะคะ คนเขียนอยากให้มาได้ไวๆ คนอ่านก็ตามนั้นแหละค่ะ 555
    สู้ๆน้า

    ReplyDelete
  2. ลุ้นว่าจี้ไปอยู่กะแคปแล้วจะเป็นไงน๊า~ แล้วแคปให้จี้มาอยู่ในฐานะอะไร รอติดตามตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ อย่าหายไปนานนะไรต์เค้าคิดถึง >3<
    ปล.ชอบฟิคของไรต์เตอร์มากค่ะมีคู่แคปจี้ไม่มีใครแต่งเลย เค้าชอบคู่นี้มากช่วงนี้โมเมนต์เยอะด้วย >////<

    ReplyDelete
    Replies
    1. โอววว.. เจอทีมแคปจี้ *แปะมือ*

      >____<

      Delete
  3. ชอนจีกลายเป็นคนของเจ้าเผ่าไปแล้วอ่ะแล้วจะมีโอกาสได้กลับไปหาย่าไหมล่ะเนี่ย ชางโจจะไม่ชอบชอนจีไหมที่เป็นคนได้สร้อยเส้นนั้นไป แคปดูมีสองบุคลิกอ่ะ เกรี้ยวกราดและอ่อนโยน สนุกค่ะ รอตามตอนต่อไปค่า

    ReplyDelete