CAN YOU SAVE ME - Part 2 -



Brothers



จุดเชื่อมต่อของโลกแห่งวิทยาการและโลกของความเชื่อ

เรื่องเดียวกัน..มีผลต่อความนึกคิดไปกันคนละด้าน

วิทยาการ..ให้คำตอบในเรื่องของหลักการก่อเกิด

ความเชื่อ..ให้พลังในด้านของความรู้สึก








สำหรับมนุษย์และบรรดาสัตว์ปีกทั้งปวง พิราบขาวหรือพิราบเผือกถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จัดว่าหายาก เส้นขนที่สะอาดตาสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสยายปีกบิน ยิ่งทำให้ดูงามสง่า อีกทั้งเสียงขันอันไพเราะขับกล่อมฝูงสัตว์ให้เคลือบเคลิ้มชวนหลงใหล แต่ความงดงามเหล่านั้น..กลับสร้างอันตรายให้กับตัวเอง เมื่อทั้งมนุษย์และเหล่าสัตว์ใหญ่ต่างก็อยากได้มาไว้ในครอบครอง พิราบขาวจึงยิ่งต้องเอาตัวรอดจากอันตรายรอบข้าง



.  .  .




ที่แย่ไปกว่านั้น..สำหรับเผ่าพันธุ์พิราบด้วยกันแล้ว พิราบขาวกลับถูกตราหน้าว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะถือว่าเป็นพันธุ์ที่ผ่าเหล่าผ่ากอ สีขาวทั่วตัวที่ปรากฏเกิดจากลักษณะด้อย สีจึงจืดชืดผิดแผกไปจากพิราบตัวอื่นๆ



.  .  .




แต่ทั้งหมดนั้ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับ..ความเชื่อที่บอกต่อๆกันในหมู่ปักษาว่า หากพิราบขาวอยู่แห่งหนใด..จะนำภัยมาซึ่งผู้ครอบครอง นั่นยิ่งทำให้บรรดาพิราบด้วยกันต่างขับไสพิราบขาวทุกตัวที่เกิดขึ้นออกจากหมู่ พิราบขาวจึงใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง โดดเดี่ยว จนแก่เฒ่า รอวันที่ปีกจะร่วงโรยราไป








.  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .




ชอนจีเองก็เป็นหนึ่งในพิราบขาวที่ถูกเนรเทศออกมาจากฝูง ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง กลางวันเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา และออกโบยบินในยามค่ำคืนตามนิสัยรักอิสระ และเพราะความเป็นพิราบขาวที่มีอันตรายรอบด้าน บางครั้งจึงจำเป็นต้องอำพรางสีขนด้วยการเกลือกกลิ้งไปกับดินกับโคลน


ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วาย การมีเลือดของมนุษย์อยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นสิ่งผิดแปลกสำหรับหมู่พิราบแท้ ไม่มีฝูงใดหรือตัวใดกล้ารับเข้าฝูง บ่อยครั้งที่เกิดการต่อต้านไปจนมีการปะทะ เป็นเรื่องเป็นราว

..จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด




หลังเหตุการณ์คืนนั้น เขาถูกพาตัวมายังที่พักใหม่ 

และคงไม่มีที่ใดปลอดภัยไปกว่าเรือนนอนของเจ้าเผ่าอีกแล้ว



จากนี้ต้องขอแรงพวกนายแล้ว เราต้องช่วยเป็นหูเป็นตากัน เพื่อให้สิ่งที่มีค่าได้เคียงคู่กับผู้ที่คู่ควร



ชอนจีไม่อาจเข้าใจความหมายที่ผู้เฒ่ากำชับกับบริวารนัก แต่ก็ไม่ได้เดียงสาจนไม่รู้ว่านั่น..กำลังพูดถึงตนเอง 



ก่อนสติขาดหาย ร่างกายอยู่ในอ้อมกอดใครคนนั้น ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ


นายได้ตอบแทนเราแน่นอน เจ้านกพิราบขาว





ที่พักแห่งใหม่..เหมือนจะสะดวกสบาย แต่กลับทำให้ผู้อาศัยคนใหม่อึดอัดใจไปมากกว่าเดิม สนามหญ้านอกหน้าต่างกลายเป็นกระเบื้องหลังคา เสียงนกเสียงลมในสวนถูกแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้า 

ชอนจีมองไปที่ประตูหน้าห้อง จินตนาการถึงข้างนอกที่มีผู้คนเดินไปมา เสียงกระซิบกระซาบเล็ดลอดเข้ามาบ้างแต่ไม่อาจเข้าใจในเนื้อความ เคยทำใจกล้าแง้มประตูออกไปหวังผ่อนคลายตัวเอง แต่กลับเจอสายตาที่มองมาเหมือนกำลังมองตัวประหลาด 

..ช่างขัดกับท่าทีนอบน้อมที่แสดงอย่างสิ้นเชิง



สภาพตัวเองในตอนนี้ ไม่ต่างกันเลย.. กับนกที่ถูกขังในกรง



ตกลงที่นี่..มันเป็นที่แบบไหนกันแน่





.



.



.




เรื่องที่แคปอนุญาตให้คนนอกเข้ามาอยู่เคหาสน์ชั้นใน นั่นยิ่งทำให้ใครบางคนไม่พอใจมากขึ้น ชางโจรอที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ชายอย่างเปิดอก แต่ถูกบ่ายเบี่ยงไปเสียทุกครั้ง



“จะทำเฉยไปจนถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่ยอมให้เราเข้าไป!


ต่อหน้าบริวารเขาพ่นคำใส่ประตูบานตรงหน้าหมายจะให้คนข้างในนั้นได้ยิน ไม่สนใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทต่อหน้าพูดผู้เฒ่าของเผ่า ชายชราเองก็ดูจะไม่ติดใจ กลับมีเพียงรอยยิ้มบางๆและท่าทางสุขุม ราวกับเสียงนั้นช่างเสนาะหู


แม้จะพ้นผ่านกาลเวลา เข้าสู่การเจริญวัย ชางโจก็ยังเป็นนกตัวน้อย คอยจะส่งเสียงร่ำร้องอย่างเอาแต่ใจ




ให้เข้ามาเถอะ วันนี้เราอยากคุยกับน้องชาย ’



เสียงจากด้านในทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ มีเพียงชางโจที่ยังแสดงท่าทางอวดดีอย่างผู้ชนะ


“ดื่มอะไรดี จะให้คนจัดให้”
ชายชราคนเดิมเอ่ยถาม

“อย่าให้มากพิธี พูดจบเราก็จะกลับ”


ผู้เฒ่ายังคงแย้มยิ้ม น้อมศีรษะลง และเบี่ยงตัวให้ทางอย่างนอบน้อม



.  .  .



บานประตูปิดลง.. เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง


ห้องที่เคยหรูหรา กว้างขวาง มีโคมไฟคริสตอลเป็นดาวเด่นอยู่กลางห้อง ส่องประกายระยิบแผ่แสงอบอุ่นแข่งกับดวงดาวบนท้องฟ้า ชวนให้รู้สึกดีทุกครั้งที่เข้ามา 

แต่คืนนี้ ไม่มีแม้แสงระยิบระยับจากดวงดาวและดวงไฟ จันทร์ข้างแรมก็ดูจะน้อยไปที่จะทำให้ห้องดูสว่าง ความเย็นเยียบและว่างเปล่าเข้าปกคลุมเต็มที่ 


กลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่




..เงียบสงัด ความมืดสลัวภายในทำให้ห้องนี้ดูน่าอึดอัด ชางโจพยายามเบิกตาเผื่อจะช่วยให้เห็นอะไรชัดขึ้น



“เราจะเปิดไฟ..”
จะเป็นคำขออนุญาตหรืออาจจะแค่บอกเล่า

“ไม่ต้อง..”

แต่เสียงปรามก็ยั้งมือเขาไว้ทัน

“อยากจะพูดอะไรก็ว่ามา..”




ไม่นานนักสายตาก็เริ่มปรับกับจากความมืดเป็นสลัว ชางโจเพิ่งสังเกตว่าคนที่กำลังมองหาอยู่ใกล้มากกว่าที่คิด

ร่างที่จมกับเก้าอี้หนังตัวใหญ่หันหน้าไปทางริมหน้าต่าง เก้าอี้ตัวโปรดที่พี่ชายมักจะใช้เป็นที่อ่านหนังสือในยามพักผ่อน



“..คนแปลกหน้า”



“เรา....”


ชางโจทิ้งคำ 


“..อยากรู้”

ความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน การพูดจาจึงไม่ถนัดปากนัก เมื่อสถานะของพี่ชายเปลี่ยนไป เราก็ไม่ใช่พี่น้องที่จะมีเวลามานั่งหัวเราะกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบก่อนได้อีก


' อะไรก็ได้ จะเป็นคำโกหกก็ไม่เป็นไร เราอยากฟัง เราอยากให้พี่บอก '


แม้ยากจะทำใจ..แต่ก็เป็นไปแล้ว




“เราพอใจ”

“ก็แค่พอใจ”



ชางโจหลับตาแน่น สูดลมหายใจเก็บกักอารมณ์ที่พร้อมพุ่งพรวดให้ยังอยู่ในร่องในรอย เขาต้องใจเย็น ไม่เกรี้ยวกราด ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นเด็กอยู่ร่ำไป


“แค่นั้น..?”
เขาแอบขบกราม

“ถูกต้องแล้ว ก็เพราะเป็นเจ้าเผ่า เราเสียสละดูแลทุกคนมาอย่างดี เรื่องแค่นี้ทำไมเราจะทำไม่ได้”

“เรื่องแค่นี้..?! เรื่องที่เอาพิราบเข้ามาในเผ่าไม่ใช่เรื่องแค่นี้รู้กันทั้งนั้นว่ามันเป็นเรื่องต้องห้าม เราไม่เข้าใจ ทำไมแม้แต่ผู้เฒ่าก็ยังไม่ปรามอะไรเลย!


แสงน้อยๆสะท้อนเงาดำ ชางโจจินตนาการในท่าทีที่ไม่ยินดียินร้าย ในความสงบนั้น แคปคงกำลังยิ้มเยาะ ลำพองในความเป็นผู้นำที่กุมทุกอย่างไว้ในกำมือ อำนาจมันกัดกินใจใครคนนั้นจนเน่าเฟะไปเสียแล้ว

หมัดที่กำแน่นจนรู้สึกร้าวไปถึงแขน แสดงถึงความอดทนอย่างจำกัดที่กำลังจะถึงขีด มีแต่เรื่องน่าผิดหวัง โง่เองแท้ๆที่คิดอยากจะฟังเหตุผลดีๆสักข้อ

“เราผิดเองที่หวังจะได้ฟังแม้คำแก้ตัวของพี่ เหอะ..รู้ชัดแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้ว พี่มันบ้า บ้าเหมือนพวกที่มันฆ่าพ่อ! พี่ไม่ใช่ผู้นำใครหรอก แต่เป็นตัวอันตราย อย่าคิดได้เข้าใกล้เราอีกเลย



ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวกับก้อนที่จุกอยู่ตรงคอ ชางโจไม่คิดจะพูดอะไรอีก มันชัดเจนแล้ว 


ความสัมพันธ์มันจะเหลือเพียงเปลือกนอกเท่านั้น 


จากวันนี้..


เขาได้เสียพี่ชายคนเดิมไปแล้วจริงๆ



“อ่อ.. ช่วยเปิดไฟตรงโคมเล็กๆมุมห้องให้ด้วยสิ เราจะอ่านหนังสือต่อ”
แคปยังอารมณ์สม่ำเสมอ ไม่ยี่ระต่อสิ่งที่ได้ยิน



โคมไฟเล็กตรงมุมห้องสว่างขึ้นแทบจะในทันที รายละเอียดเล็กน้อยในห้องนี้ที่ชางโจยังจำได้แม่นยำ 


..แคปเพียงลอบยิ้มน้อยๆให้ตัวเอง



แสงจากโคมไฟสะท้อนวัตถุบางอย่าง ความสวยงามดึงดูดสายตาให้สองขายังหยุดนิ่ง โลหะรูปพระจันทร์เสี้ยวฉลุลายที่ห้อยไว้กับเส้นเงินถัก เปล่งแสงเจิดจ้า ราวกับถูกตรึง มือหนาเปลี่ยนทิศจากลูกบิดมาเป็นเอื้อมคว้าหมายอยากสัมผัส



“ถ้าชอบ จะเอาไปก็ได้”

“..!..”
รู้ตัวเมื่อโดนทัก มือที่กำลังจะสัมผัสหดกลับทันที 


ไม่อยากจะเสียเวลาในห้องนี้อีกแม้แต่เสี้ยววิ





ปัง!





“บ้าเอ้ย!

ชางโจหลุดคำสบถทันทีที่ประตูกระแทกปิดลง หางตาเหลือบไปเห็นชายชราที่ยังคงน้อมศีรษะ

..นั่นยิ่งทำให้หงุดหงิด



“ผู้เฒ่า..!

“ไม่มีใครรู้จักเจ้าเผ่าดีเท่ากับน้องชายเขาหรอก”

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ถูกชายชราแย้มยิ้มเอ่ยคำแทรกขึ้นมาเสียก่อน


ผิดแล้ว.. ตอนนี้เขาไม่รู้จักพี่ชายตัวเองเลยสักนิด 
คนหลังบานประตูนั่นไม่ใช่พี่ชายเขา 
เป็นใครคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ


แต่เมื่อไม่คิดจะฟังกัน..ก็ไม่อยากฝืน




บริวารต่างพร้อมเพรียงน้อมศีรษะให้แก่ชางโจ ทายาทอีกคนของเผ่าที่เพิ่งเดินกระทืบเท้าออกไป



.  .  .




ไม่กี่อึดใจ ประตูบานเดิมถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เป็นชายชราหน้าห้องเดินเข้ามาแทนที่ แสงจากโคมสะท้อนให้เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดนั้น



“ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้เลย..เจ้าเผ่า”
ว่าจบก็ปล่อยเสียงถอนหายใจแห่งความกังวล

ไม่มีเสียงตอบใดๆ เห็นเพียงเก้าอี้หนังตัวใหญ่ที่ปรับเอนลงในแนวราบ ร่างที่ยังจมอยู่กับเบาะกระชับแขนขาเข้าหากันในความเงียบ


“คืนนี้ลมแรง นอนตรงนี้มันจะไม่ดีเอานะ”
ชายชราได้แค่เปรย.. ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆให้เห็น สองมือจึงหยิบกางผืนผ้าด้านปลายเท้านั้นเพื่อใช้คลุมร่างที่กำลังต้องการการพักอย่างรู้หน้าที่



“เราอาจจะต้องทำมากกว่านี้ ถ้าชางโจยังไม่เข้มแข็ง เขาจะดูแลตัวเองและคนที่เขารักไม่ได้”



เสียงอู้อี้ใต้ผ้าห่มหนาที่แว่วออกมาให้ได้ยิน ก่อนจะเข้าสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง






.



.



.




“จริงๆพวกเราก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์แท้ๆพวกนั้นเท่าไหร่เลยนะ”

ซังฮยอกว่าพลางมองแก้วแอลกอฮอล์ในมืออย่างขำขัน ผิดกับชางโจที่ไม่นึกสนุกด้วย

“พวกนั้นสิที่ไม่ต่างจากเรา จมจ่อม หมกมุ่น แย่งชิง มันก็ทำตัวเป็นสัตว์เหมือนกันละวะ!
“ชูว..!! เมาแล้วระวังปากหน่อย ไม่ใช่ที่ที่เราจะพูดอะไรก็ได้”
ซังฮยอกรีบปราม

“นายน่ะ อะไรก็ดี ติดที่ขี้บ่น”
“ว่าไปเถอะ วันไหนไม่มีเราคอยเตือนสิจะคิดถึงกัน”
ซังฮยอกสวนกลับอย่างอารมณ์ดีแล้วกระดกของเหลวในแก้วรวดเดียวหมด

“อ้า... รสชาติดีจริงๆ นายคิดว่าไง”
ชางโจไม่ตอบ กลับนิ่งมองคนตรงหน้า


“เราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”
“หืม..?”
“นายจะต้องอยู่ข้างๆเราไปตลอดแบบนี้ ไม่ว่าจะด้วยฐานะอะไรตาม”

น้ำเสียงจริงจังทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ชางโจ.. เราก็แค่แหย่นายเล่น”
ซังฮยอกเริ่มหน้าเสีย


“แต่เราพูดจริง อย่าคิดไปไหนจากเราเป็นอันขาด ..ซังฮยอก”




.



.



.




ปล่อย..! เดินเองได้! ไม่ต้องมายุ่ง! ’


โครม..!!


เสียงปึงปังที่แว่วมาจากข้างนอก ทำให้ตาที่ปิดสนิทเบิกโพล่งอย่างตกใจ



ก็บอกอยู่.. ว่าไม่ได้เมา! ’


คิ้วขมวดมุ่น กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ยากเต็มที 

เสียงอึกทึกยังดังไม่ขาด จะว่ากลัวก็ใช่ แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า เรื่องตื่นเต้นบางอย่างทำให้ลืมเรื่องหัวเสียไปง่ายๆ


มีคนกล้าทำอะไรแบบนี้ด้วยหรือ


ความสงสัยใคร่รู้ส่งพลังให้อยากแง้มประตูออกไป ช่างประจวบเหมาะที่คนต้นห้องไม่เหลือใครให้คอยหวั่น กับสายตาที่ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด ก็ขยาดจนไม่อยากจะออกไปไหน

ทุกคนให้ความสนใจกับใครสักคนที่มาก่อกวนความสงบ ชอนจีค่อยๆเดินไปทางต้นเสียงจนออกไปเจอกับห้องโถงใหญ่ เสาไม้ยักษ์ถูกใช้เป็นที่อำพรางกายได้ดี



“รำคาญ! ก็บอกว่าอย่ามาจับ!


สภาพที่กำลังโดนหิ้วปีกเพราะเจ้าตัวคงไม่มีสติแม้กระทั่งทรงตัวยืน แม้กระนั้นก็ยังไม่ทิ้งฤทธิ์เดช ดิ้นสะบัดโวยวายแบบไม่ลดละ 

ไม่ยักรู้.. ในหมู่คนพวกนี้ยังมีคนที่รู้จักแสดงอารมณ์ รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมา โกรธโมโหเป็น ไม่ใช่มนุษย์หุ่นยนต์..ที่เหมือนโดนโปรแกรม ให้พูด ให้ตอบ ให้แสดงสีหน้าแบบเดิมๆ ทั้งที่นัยน์ตากลับฉายแววกันไปคนละอย่าง



...หมับ...


จังหวะถูกสัมผัสตรงบ่า ทำให้คนที่หลบหลังเสาไม้ใหญ่ต้องสะดุ้งอีกครั้ง


“เรา..ซังฮยอก ดีใจนะที่ได้เจอกันสักที”


ฟังดูเหมือนเขาจะเป็นที่รู้จักแก่ทุกคนในที่นี้ ..แต่เขาเองกลับไม่รู้จักใครเลย

..ที่นี่มีอะไรให้แปลกใจได้ตลอดเวลาจริงๆ


“ขอแนะนำตัวเลยแล้วกัน เราเป็นคนในอนุเคราะห์ของท่านผู้เฒ่า และเป็นญาติห่างๆของเจ้าเผ่า เราไม่เคยรู้จักกัน แต่หลังจากวันนี้ นายรู้จักเราแล้ว”

รอยยิ้มและแววตาดูจะเป็นมิตรมากกว่าคนอื่นๆ น่าประหลาดใจเหมือนกันที่เกิดวางใจชายแปลกหน้าคนนี้ 


หากว่านายต้องการ เรายินดีที่จะเป็นเพื่อนคุย.. และเพียงนายบอกว่าอยากอยู่ลำพัง เราจะไม่รบกวนทันที”

ท่าทีสุภาพ นอบน้อมและให้เกียรติ มันออกมาจากแววตาและรอยยิ้ม

“อย่าคิดอย่างนั้น เป็นความกรุณาและยินดีมากถ้าจะมีเพื่อนสักคนที่นี่”

ชอนจีพยายามปั้นยิ้ม มันยากกว่าที่คิดถ้าจะให้ทำตัวกลมกลืนกับคนที่เพิ่งรู้จัก เพราะชีวิตอยู่บนความขาดกลัวและหวาดระแวง การเปิดใจต่อใครสักคนนั้น จำเป็นจะต้องใช้เวลา

“ถือว่าเป็นเกียรติแก่เรามากกว่า หากต้องการพบ ก็ให้บริวารหน้าห้องเรียกเราได้เสมอ”

ชอนจีทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบ การแสดงออกกับตัวเขาก็ยังไม่ได้ต่างไปจากผู้เฒ่าและคนอื่นๆ คนที่นี่อาจจะรู้สถานะเขาดีกว่าตัวเขาเองเสียอีก


“เอ่อ.. คนเมื่อครู่”

เพราะไม่แน่ใจว่าสมควรหรือไม่ ชอนจีจึงลองเปรยคำไปลอยๆ

“ชางโจ..  เป็นน้องชายของเจ้าเผ่า ถึงจะดูอารมณ์ร้ายแต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี สักวันนายจะได้รู้จักกับเขา”

จะเป็นไรไป จะให้ทำความรู้จักกับใครอีกสักกี่คน 

“หายตกใจแล้วสินะ”
ซังฮยอกถามอย่างยิ้มๆ


ชอนจีพยักหน้ารับอีกครั้ง ตากลมก็เบิกกว้างอีกนิดเพราะคิดอะไรบางอย่างได้

“นายคงรู้จักคนที่นี่..?”
ชอนจีเอ่ยถามอย่างลังเล

“จะว่าไป..ก็ใช่”
ซังฮยอกว่าตอบ






“เราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหม..?”








-TBC-




>>> INFINITE "Back"

>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"





หมายเหตุ : ที่มาข้อมูลเกี่ยวกับนกพิราบ http://student.nu.ac.th/tippayarat/an_14.htm , http://www.thairacingpigeon.com/forums/showthread.php?t=511
           


คุยๆ: เรื่องนี้เขียนขึ้นจากข้อมูลอ้างอิงและจินตนาการผสมปนกันนะคะ พาร์ทนี้รู้จักพิราบหรือชอนจีของเรากันแบบคร่าวๆก่อน พี่แคปกับน้องชางจะพามาทำความรู้จักให้ลึกกว่านี้ในพาร์ทต่อๆไปนะ ^-^




2 comments:

  1. อยากรู้เหตุผลจังว่าทำไมแคปต้องทำเย็นชากะชางโจงี๊ แต่ดีใจที่จี้จะได้มีเพื่อนซักทีโดนคนมองประหลาดมานาน

    ReplyDelete
  2. ก่อนสติขาดหาย ร่างกายอยู่ในอ้อมกอดใครคนนั้น ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ งื้ออออ แอบฟินประโยคนี้ฟินโดยที่เขายังไม่ทำอะไรกันเลย
    แอบรู้สึกถึงความน้อยใจของชางโจที่โดนพี่ชายห่างเหินยังไงไม่รู้ มันต้องมีอะไรในอาการท่าทีเฉยชาของแคปแน่ๆ อะไรล่ะอะไร? สงสารชอนจีมาอยู่แบบงงๆแต่ก็ยังดีดูเหมือนจะได้เพื่อนละ

    ReplyDelete