CAN YOU SAVE ME - Part 1 -




Plumage & Blood






สิ่งที่เห็น..เชื่อได้หรือไม่ว่ามันมีอยู่

และสิ่งที่ไม่เห็น..แน่ใจได้อย่างไรว่ามันไม่มี









มนุษย์.. สิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลาย ทั้งถิ่นกำเนิดและรูปร่างลักษณะ

มนุษย์.. เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยกตัวเองเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตั้งตัวเป็นสัตว์ประเสริฐและเหยียดสัตว์อื่นว่า..เดรัจฉาน

มนุษย์.. ผู้ซึ่งมีแต่ความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบธรรมชาติและระบบนิเวศ เพียงเพื่อตัวเอง



.  .  .




อีกด้านหนึ่ง..มนุษย์อีกสายพันธุ์ที่ไม่เคยถูกพูดถึง แม้แต่ประวัติศาสตร์ยังถูกลบเลือนเหมือนจงใจให้มันหายไป คงเพราะมนุษย์พวกแรกนั้นต่างไม่ยอมรับ ที่ชาติพันธุ์ของตนจะมีเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาเจือปน


มนุษย์อีกสายพันธุ์ที่ว่านั้น ถูกเรียกกันตามความเข้าใจว่า   ..มนุษย์เลือดผสม


.  .  .




กาลครั้งหนึ่งเนิ่นนาน.. นานเกินกว่าจะใช้คำว่าประวัติศาสตร์ ในยุคนั้นการหยามเหยียดแบ่งแยกกันระหว่างมนุษย์ทั้งสองสายพันธุ์เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นการเข่นฆ่าแย่งอาณาเขต จนเกือบจะเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ของทั้งสองฝ่ายให้สูญสิ้น 

และก่อนที่จะสาย ผู้ที่ยังรอดชีวิต ประสงค์จะยุติการสูญเสียนั้น ยอมสงบความบาดหมางต่อกันภายใต้ข้อตกลง

โดย..มนุษย์เต็มสายเลือดและมนุษย์เลือดผสมจะแยกกันอยู่คนละฟากพิภพ จะไม่ก้าวล่วงซึ่งกันไม่ว่ากรณีใด จะอยู่กินตามการขยายเผ่าพันธุ์ 

และเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้เยี่ยงสังคมของสัตว์ จึงมีการตั้งกฎไว้ว่า..

มนุษย์เลือดผสมจำเป็นต้องซ่อนเร้นความเป็นสัตว์สภาพ 
จะไม่สามารถกลายร่างเพื่อทำร้ายกันได้อีก 




ความสงบของโลกจึงกลับมาอีกครั้ง



นอกจากจะหลบซ่อนความเป็นสัตว์สภาพแก่เหล่ามนุษย์ธรรมดาแล้ว กับเหล่าเลือดผสมด้วยกันก็ยังจำเป็นต้องเก็บความเป็นสายพันธุ์ของตัวเองเอาไว้เพื่อความปลอดภัย 

ประชากรเลือดผสมที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ต้องการอาณาบริเวณเพื่อฝูงเพื่อเหล่า สัตว์ก็ยังมีความเป็นสัตว์ ยังคงต้องการไล่ล่าเพื่อสร้างอาณาจักรและความยิ่งใหญ่โดยสัญชาตญาณ





.  .  .




การเดินทางของเวลาก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกสรรพสิ่ง ทุกอย่างค่อยๆหลอมรวมกลืนเข้าหากันจนยากจะแยกแยะ 

มนุษย์ต่างสายพันธุ์..ก็ยังเป็นแค่เรื่องเล่า ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่



.  .  . 




เหล่าสิ่งมีชีวิตที่ต้องหลบซ่อนความเป็นตัวตน ความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่ 

เป็นเหมือนโลกคู่ขนาน 
เป็นความเหมือนที่แตกต่าง และเป็นความต่างบนความเหมือน 

ใช้ชีวิตและเอาตัวรอดไปตามครรลองของมัน อาศัยอยู่ร่วมกัน สอดคล้องไปตามระบบนิเวศ







.  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .








“ฮึ่ย!
เศษหินฝุ่นผงกระหย่อมเล็กๆถูกปลายรองเท้าระเบิดอารมณ์ใส่จนฟุ้งกระเด็น

พี่ชายเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ทำเรื่อง ..งี่เง่า แบบนั้น


คิดแล้วมันน่า...

“หงุดหงิดโว้ย!


ชางโจพ่นคำ และเพราะมัวแต่หัวเสียจึงไม่ทันสังเกตว่าใครบางคนเข้าใกล้ตัวมากแค่ไหน


“รองเท้าคู่นี้แพงกว่าเสื้อผ้าเราทั้งชุดเสียอีก ดูแลมันดีๆหน่อยสิ”


“..!!..”

ผิวลมปากที่ผ่านต้นคอจนเผลอสะดุ้งหนี ชางโจมองเจ้าของเสียงสลับกับก้มมองรองเท้าที่ใช้เตะดินไปเมื่อครู่

“เราไม่ได้ตั้งใจ..”
ร้องบอกปัดเป็นพัลวัน จนทำให้ใครคนนั้นหลุดยิ้ม


“ก็แค่แหย่เล่น..  เหมือนหมู่นี้เราไม่ค่อยเจอหน้ากันเลย..”


ประโยคที่ทำให้คนฟังสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

“นายต้องการแบบนี้ไม่ใช่รึ!
ชางโจบ่ายหน้ายิ้มเยาะ

เราถามก็เพราะเป็นห่วงเลิกประชดกันเสียที!
“ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วงหรือไง ที่อะไรมันถึงผิดเพี้ยนไปหมด”
เขาตอบกลับทันควัน



“ความรู้สึกของนาย เราเข้าใจ เราห้ามนายไม่ได้ และที่เราไม่รับมันไว้ นายก็ควรเข้าใจเราเช่นกัน แล้วการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่เพื่อนควรมี กลับทำให้นายไม่พอใจ.. เราบอกเลย..เราผิดหวัง ถ้านายแยกแยะไม่ได้ เราคงไม่จำเป็นต้องเห็นแก่ความเป็นเพื่อนอีก คนที่ไม่เหมือนเดิม ..คือนายต่างหาก! ถ้าอะไรมันจะผิดเพี้ยนอย่างที่นายว่า มันเป็นเพราะนาย!



เสียงที่พรั่งพรูความรู้สึกออกมาชุดใหญ่นั้นช่างสั่นเครือ เมื่อหันมอง..เห็นเพียงแผ่นหลังและฝีเท้าก้าวห่างออกไปแล้ว



“เดี๋ยว..ซังฮยอก!  

..ขอโทษ”
ชางโจผ่อนเสียงเบาลงจนทุ้มอยู่ในลำคอ แต่ก็ดังพอให้อีกคนหยุดฝีเท้า


“เราเห็นแก่ตัว ไม่ได้นึกถึงความรู้สึก ..ว่านายเองก็คงอึดอัดไม่ต่างจากเรา ขอโทษนะ..”


เสียงถอนหายใจดังจนเขาเองยังได้ยิน

“เราไม่เคยโกรธหรือนึกรังเกียจเลยสักครั้ง นึกขอบคุณด้วยซ้ำกับความรู้สึกดีๆของนาย แต่เราเป็นได้แค่นั้น”

เมื่อเห็นว่าชางโจใจเย็นลงแล้ว ซังฮยอกจึงผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนตาม


“เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน เราจึงอยากรักษาน้ำใจกันไว้ แม้จะตอบแทนในแบบที่นายต้องการไม่ได้ แต่นายก็สำคัญกับเราไม่แพ้ใครเหมือนกัน นอกจากท่านผู้เฒ่า ก็มีแค่นายที่มองเราเป็นคนในครอบครัว เราจะทิ้งสิ่งที่ดีที่สุดนี้ไปไม่ได้”




...หมับ...


ชางโจหลับตาซึมซับความอุ่นจากแผ่นอกที่ทาบเข้ามา ปล่อยให้ร่างกายถูกโอบรัดอย่างเชื่อฟัง นึกกังวลว่าจะทำอย่างไรในเมื่อเหตุผลของซังฮยอกไม่สามารถหยุดยั้งหัวใจที่ไม่ซื่อสัตย์ของเขาได้เลย




...


ซังฮยอก บริวารที่มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ เพราะการสูญเสียครอบครัวครั้งใหญ่ในวัยเด็กทำให้ต้องเข้ามาอยู่ในความอุปการะของท่านผู้เฒ่า ถือเป็นเรื่องดีเพราะด้วยวัยที่ไม่ห่างกันทำให้เขาและซังฮยอกเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่นั้น

ซังฮยอกเป็นคนเข้มแข็ง ทระนง รักตัวเอง และทะเยอทะยาน ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ และจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ 

ซังฮยอกมีในสิ่งที่เขาไม่มี เป็นคนอยู่ในกฎเกณฑ์ ขณะที่เขาเอาแต่คิดนอกกรอบ ซังฮยอกให้เหตุผลกับทุกสิ่ง แต่เขากลับใช้เพียงอารมณ์ 

สิ่งเหล่านั้นดึงดูดให้เขามากขึ้นทุกวัน กว่าจะรู้ตัว สายตาคู่นี้ก็มองเพียงซังฮยอกไปแล้ว และเพราะเขาที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับพี่ชายตัวเองนัก ซังฮยอกจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เขาวางใจที่สุด


...




อ้อมกอดอุ่นค่อยๆผละออก ชางโจเห็นใบหน้านั้นระบายยิ้มให้น้อยๆ


“ทีนี้จะบอกได้หรือยัง ว่ามีเรื่องอะไร..?




.


.


.





ตากลมลืมขึ้นพร้อมมื้อเช้าที่วางอยู่ข้างเตียงเหมือนอย่างทุกวัน บาดแผลตามร่างกายเจือจางหายไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงร่องรอยที่ตอกย้ำให้พอระลึกได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้น




..แกร็ก..


เสียงลูกบิดดังขึ้นก่อนที่ใครบางคนจะแทรกตัวเข้ามา..เหมือนเช่นทุกวัน เขาส่งยิ้มและโน้มศรีษะให้ตามมารยาทของผู้อ่อนวัยกว่า ใบหน้านั้นปรับเป็นรอยยิ้มก้มหน้าตอบกลับ ฝ่ามือย่นยับแปะป้ายลงตามหน้าผากและกรอบหน้า


“ไม่มีไข้แล้วนะ ยังปวดตรงไหนอีกหรือเปล่า”


คำถามเรียบๆ แต่กลับให้ความรู้สึกดีทุกครั้ง จากที่เริ่มต้นเป็นคนแปลกหน้า ความโอบอ้อมอารีที่ได้รับจนเกิดเป็นความอุ่นใจ ยิ่งเวลาผ่านก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิด สนิทสนมราวเครือญาติ

ชอนจีส่ายใบหน้าเล็กน้อย หลังจากสำรวจอาการบาดเจ็บของตัวเอง ตอนนี้ร่างกายฟื้นฟูจนแทบจะเป็นปกติดีแล้ว มีแค่บางเรื่อง..

“เมื่อไหร่ถึงจะยอมบอกเราละท่าน ว่าเราอยู่ที่ไหน..”
ใบหน้าหวานดูจริงจังปนกังวล น้ำเสียงเจือไปด้วยการอ้อนวอน

“เรายังไม่ได้รับสิทธิ์ให้ตอบคำถามในเรื่องนี้”
และเป็นอย่างนี้..เช่นทุกวัน

“ตั้งแต่เราฟื้น จนหายดี เรายังไม่ได้เจอหน้าเขาสักครั้ง”
ชอนจีร้องท้วง

“หึ.. อีกไม่ช้าก็เร็ว”
ชายชราปั้นยิ้มให้เขาอีกครั้ง แล้วก็กลับออกไปอย่างเงียบๆ



“จะเป็นคนแบบไหนกัน..”



.


.


.





กลางโต๊ะอาหารมื้อค่ำ มีเพียงชายสองคนที่นั่งพูดคุยกัน คนหนึ่งเป็นชายร่างสูงใหญ่วัยหนุ่ม อีกคนเป็นชายชรารูปร่างผอมบางกว่า ผิวหนังเหี่ยวย่น เส้นผม ขนคิ้ว กลายเป็นสีดอกเลาไปหมดแล้ว

“ชางโจคงไม่ลงมาร่วมโต๊ะ เราให้เด็กยกสำรับขึ้นไปให้แล้ว เจ้าเผ่าไม่ต้องรอหรอก 
ชายชราเอ่ยขึ้นก่อน ด้วยท่าทีนอบน้อม

“เมื่อไหร่จะรู้จักโตเสียที ไม่ใช่ขัดใจอะไรก็เอาแต่ประท้วงแบบนี้”
ชายหนุ่มอีกคนถอนหายใจ แล้วว่าตอบ

“เป็นไปตามวัย.. หากเจ้าเผ่าจำได้ เจ้าเผ่าก็ไม่ต่างกันหรอก”

ชายชราก็เผลอยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกคนถึงกับยกคิ้วฉงน

“จริงเหรอ..? เราไม่เคยรู้ตัวเลย เฮ้อออ.. นี่เราเลยวัยที่จะทำอะไรตามใจตัวเองไปแล้วสินะ”
เสียงถอนหายใจ ก่อนทิ้งตัวลงพิงพนัก

“เจ้าเผ่ายังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น อยากทำอะไรก็ทำเถิด ..ขอแค่ยังอยู่ในขอบเขตก็พอ”
ชายชราว่าไปยิ้มไปเป็นการปลอบโยน

“คำว่าขอบเขตของท่านผู้เฒ่า คือกรอบที่ทำให้เราไร้ซึ่งอิสระ”
ร่างสูงใหญ่ดูราวกับหดเล็กลง เผยท่าทีเหนื่อยอ่อนอย่างชัดเจน

“เราก็ได้แค่บอก ทุกวันนี้ที่มันดีอยู่ได้ ก็เพราะความรับผิดชอบของเจ้าเผ่าเอง เราพอใจมากที่เจ้าเผ่ามีความเป็นผู้นำอยู่เต็มตัว”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย เราไม่เคยมีความสุขนับแต่วันที่ใครๆเรียกเราว่า..เจ้าเผ่า เหนื่อยจนอยากละทิ้ง แต่ก็รู้ว่ายังไม่ถึงเวลา ..และจนกว่าจะถึงวันนั้น เราจะทนเจ็บปวดกับมันได้อีกสัก..”

“เจ้าเผ่าจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!
ก่อนจะสิ้นประโยค ชายหนุ่มถูกปรามจากชายชรา เพราะเกรงว่าบริวารอาจจะได้ยิน 

ชายหนุ่มหันมองซ้ายขวาก่อนจะเอ่ยคำแก้ตัว
“ตรงนี้มีแค่ท่าน..”

“กับใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น! แม้กระทั่งเราหรือชางโจ”

“ฮึ! เด็กคนนั้นจะไปเข้าใจอะไร ทุกวันนี้เห็นแค่เราเป็นคนบ้าอำนาจ ความเป็นพี่น้องหดหายจนแทบจะกลายเป็นคนอื่นกันไปแล้ว ทั้งที่อยู่เคหาสน์เดียวกันยังเจอหน้ากันแทบนับครั้งได้ เราถูกหลบเลี่ยงจากน้องชายตัวเองมากขึ้นทุกวัน ยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าถึงวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับชางโจบ้าง”
ชายหนุ่มตาเหม่อลอยปลดปล่อยความนึกคิด

“เราจะยังไม่พูดเรื่องนี้กัน ..จนกว่าเราจะแน่ใจ”
ชายชราตอบเสียงเย็น


ชายหนุ่มถอนหายใจหนักอีกครั้งก่อนคิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ 

“เจ้านกน้อยของเราล่ะ..เป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงขรึม แต่อ่อนโยนขึ้นในทันที

“แข็งแรงดี สดใส น่ามองยิ่งนัก แม้จะเห็นชัดว่ามีความกังวลแต่ก็สามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ดี”
ชายชราเองก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นความพอใจเช่นกัน

“คุณสมบัติครบถ้วนจนไม่น่าเชื่อว่าจะหาเจอกันง่ายๆ นับว่าเป็นโชคของเรา”


ชายหนุ่มยิ้มแต้มแก้มมากขึ้น นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้รู้สึกอยากยิ้มอย่างจริงใจ


..นานแล้วจริงๆ


ตาสีขุ่นนั่งมองแก้วไวน์แดงในมือ 


“งั้นก็คงใกล้เวลาแล้วสิ..”
เสียงสงบเรียบเย็นเอ่ยก่อนจะยกมันขึ้นจิบ


แคปยกแก้วไวน์ของตัวเองจิบตาม ตาทั้งสองคู่สบกันอย่างเข้าใจ มุมปากต่างแย้มยิ้มให้กันอีกครั้ง



.


.


.




สำรับที่ถูกเอามาวางไว้สำหรับมื้อค่ำยังไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย นอกจากชายชราก็คงจะมีเพียงแสงที่ลอดเข้ามาโผล่หน้าทักทายกันในยามค่ำคืน ตากลมใสมองพ้นขอบหน้าต่างออกไป ใบหน้าหวานละมุนช้อนมองดวงไฟสีนวลในคืนข้างขึ้น ความมืดที่แผ่คลุมทำให้อารมณ์คนเราเปลี่ยนได้ง่ายกว่าที่คิดนัก ตกค่ำทีไร ในกรอบสีเหลี่ยมเล็กๆนี้ นับวันก็ยิ่งว่างเปล่า เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า..


การที่ยังมีชีวิตอยู่แบบนี้มันดีกว่าการหมดลมหายใจจริงๆหรือ


ในวินาทีคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตาย เขาจำได้ว่าเฝ้าภาวนาด้วยลมหายใจอันรวยรินให้ตัวเองรอดพ้น ขอให้ยังมีลมหายใจเพื่อจะได้ปกป้องคนอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ขอให้ยังมีชีวิต แต่พอมาถึง ณ วันนี้ เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า จะได้กลับไปมีอิสรภาพหรือได้ดูแลปกป้องใครอีกหรือไม่ เช่นนั้น.. เขาก็คงไม่ต่างจากคนสิ้นลมหายใจ หากปีกที่มีไม่ได้โบกบินอย่างที่ใจคิด เขาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ตายไปแล้ว

ชอนจีจ้องมองดวงจันทร์ดวงเดิม ท้องฟ้าคืนนี้กลายเป็นสีกรมท่าขับให้ดวงจันทร์สะท้อนแสงเป็นสีน้ำเงินออกมา หากคืนใดพระจันทร์ขับแสงสีน้ำเงิน นั้นเท่ากับว่า ณ จุดใดจุดหนึ่งของพิภพนี้ยังเรื่องโศกเศร้าสาหัสเกิดขึ้น



..ยังมีคนทุกข์กว่านายอีกมากโขนัก

เฮ้อ...จะพร่ำเพ้ออะไรละชอนจี ใช่ว่าก่อนหน้านี้ชีวิตจะสุขสบาย ที่นี่ยังได้กินอิ่มนอนหลับ ..จะเอาอะไรอีก

ดวงตาเหนื่อยล้าหรี่ลง ผ้าห่มที่ถูกยกมาคลุมถึงหัวไหล่ ยิ่งดึกอากาศที่นี่ยิ่งเย็น แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในอาณาบริเวณของใคร แต่ยังอุ่นใจและหลับได้อย่างสบายโดยไม่กังวลว่าจะมีใครมาทำร้ายได้อีก

แสงนวลที่สาดเข้ามาขับกล่อมให้เปลือกตารู้สึกหนักขึ้นทีละน้อย อยากหลับ..เพื่อจะย่นเวลาให้ถึงวันรุ่งขึ้นโดยเร็ว ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ..หรืออาจจะไม่ได้เจออะไรเลยก็ได้





..ปัง! ปัง! ปัง!..


ตากลมเบิกโพล่งขึ้น จิตที่ใกล้จะเข้าสู่ภวังค์ผวาสุดตัว



..ปัง! ปัง! ปัง!..


ร่างกายขดเกร็ง มือไม้ขยุ้มผืนผ้าห่มเข้าหาตัว ตอนนี้ชอนจีเป็นเหมือนลูกนกท่ามกลางฝนหนาวเหน็บ เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว จินตนาการไปต่างๆนานาถึงที่มาของเสียงนั้น



..ปัง! ปัง! ปัง!..


ร่างบางรีบรวบผ้าห่มตัวคลานหลบใต้เตียง หมอบราบกระเถิบซ่อนตัว ขอบตาเริ่มร้อนและมีหยดน้ำรื้นขึ้นตามขอบ 

ทุกคำสวดภาวนาทุกนำมาใช้สงบจิตใจ



..เพล้ง!..


เข้ามาแล้ว! ’
ชอนจีจินตนาการเอาจากเสียงที่อะไรบางอย่างเพิ่งทำลายมัน


หากวิ่งออกไปเสียตอนนี้.. ถ้าโดนจับได้ล่ะ!? ’

‘ แต่ถ้าขืนยังอยู่แบบนี้ก็ต้องถูกเจออยู่ดี! ’




..   กึก    กึก    กึก   ..

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที ช้าไปที่จะหนีออกไปตอนนี้ ความหวังเดียวคือใช้ความมืดอำพราง แต่จะได้นานแค่ไหนในห้องเล็กๆแบบนี้


ใครก็ได้ ช่วยได้ยินเสียงภาวนาของเราด้วยเถิด

หมดหนทางจนต้องร้องขอปาฏิหาริย์อีกครั้ง ตากลมปิดสนิท กันตัวเองจากความกลัวด้านนอก



..   กึก    กึก    กึก   ..


ชอนจีมองเห็นปลายเท้านั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น มือบางกอดรัดผืนผ้าแน่นหมายเป็นโล่ป้องกันตัว



..กึก..


เสียงนั้นหยุดลง


ยินลมหายใจเคลื่อนไหวในความเงียบ 

แรงกระตุ้นบางอย่างบอกให้ต้องลืมตามอง


ปลายเท้าที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า


..ตึกๆ ..ตึกๆ

อีกเสียงที่ดังกว่า คือจังหวะหัวใจ


..ตึกๆ ..ตึกๆ

..ตึกๆ ..ตึกๆ


“อย่าบอกใครว่าเจอเรา เราจะไม่ทำอะไรนาย”
เสียงทุ้มแผ่วบอกเพียงแค่นั้น 


ปลายรองเท้าเปลี่ยนทิศและออกเดินอีกครั้ง ได้ยินเสียงลูกบิดที่คุ้นเคย บานประตูเปิดออก..และปิดลงอย่างเบามือ

ชอนจีสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าทุกอย่างกลับเป็นปกติแล้ว จึงค่อยกระเถิบตัวออกมาอย่างไม่ไว้ใจเสียทีเดียว

มือบางปัดป้ายไปตามร่างกายพร้อมสะบัดผืนผ้าห่มเพื่อกำจัดฝุ่นผง แรงกระพือทำให้วัตถุบางอย่างปลิวลอยขึ้นจากพื้น เขามองดูจนกระทั่งมันค่อยๆร่อนลงอีกครั้ง



“ขนนก..?”

เขาเข้าใกล้อีกนิดและหยิบมันขึ้นมาดูจนแน่ใจ 


ขนจากสัตว์ปีกสีดำสนิท ยังตกรอบห้องอยู่อีกสองสามชิ้น มีรอยด่างดวงปริศนาที่มองไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร 

หยดของเหลวสีเข้ม


“..!!..”


สัญชาตญาณรู้ได้ทันทีจากกลิ่นคาวและผิวสัมผัส

คนที่เข้ามาและออกไป ไม่ได้จงใจหมายจะทำร้าย แต่คงเพราะเหตุผลบางอย่างที่เขาก็เกินจะคาดเดา


ใครคนนั้น..จะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า


แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ชายชราบอกไว้







-TBC-


 >>> INFINITE"Back"

>>> [KaraokeThaisub][MV] INFINITE - "Back"




คุยๆ:    อ่านแล้วแปลกๆกับภาษาบ้างมั้ย แค่อยากลองเปลี่ยนการเขียนดู คิดว่าแบบนี้น่าจะเหมาะกับเรื่องมากกว่าภาษาพูดแบบเดิมๆ แนวนี้ลองเขียนดูค่ะ ไม่รู้ว่าจะออกมาดีหรือเปล่าแต่จะพยายามดู ติได้นะ ไม่ต้องชมก็ได้ คุยกันได้ด้วยนะ คนเขียนอยากคุยค่ะ ^___^




4 comments:

  1. ก่อนอื่น ซังฮยอกคือใคร ขอหา reference ก่อน จะได้ประกอบการจินตนาการนิดนุง >__<
    เรื่องนี้มาแนวใหม่ คนเขียนเปิดประสบการณ์คนอ่าน ขอปรับโหมดจากฝนเดือน11ก่อน 5555
    โยงตอนแรกมาผสมตอนนี้ เริ่มเข้าใจละว่าบุญคุณต้องทดแทนจะเกิดกับใครและใคร
    แต่คนนั้นกะคนนั้น (ชางจี้นั่นแหละ ^^") จะมาเกี่ยวข้องกันยังไง ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้อ่านน้า 55555
    สู้ๆค่า รออ่านนะ ^____^

    ReplyDelete
    Replies
    1. ไม่นานเท่าไหร่หรอกค่ะ ตั้งใจว่าไม่น่าเกิน5ตอนจบ ก็ไม่รู้จะแคปจี้ ชางจี้ ..เอ๊ะ! หรือจะแคปชาง 5555

      Delete
  2. ใครที่เข้ามาให้ห้องจี้อ่า??? น่าจะเป็นพวกเลือดผสมปะมีขนเหมือนจี้ด้วย

    ReplyDelete
  3. ภาษาแปลกเหมาะกับเนื้อเรื่องดีค่ะ ชางโจเป็นน้องชายของใคร? แคป? ใครคือคนที่ชอนจีอยากกลับไปดูแล?
    นกขาวกับนกดำ ความรักข้ามสายพันธุ์? สนุกดีค่ะ

    ReplyDelete