ETERNITY





กาลครั้งหนึ่ง การพบใครคนหนึ่งทำให้ฉันสุขใจ
กาลครั้งหนึ่ง ทุกช่วงเวลาเราเคยมีกันใกล้ ๆ
แต่กาลครั้งหนึ่ง สุดท้ายไม่จบตรงชั่วนิรันดร์เสมอไป
กาลครั้งหนึ่ง ชีวิตเลือกเส้นทางให้เรามีอันต้องไกล



















ต้นไม้สูงใหญ่ที่กำลังโอบอุ้มปกป้องชิงชาไม้ตัวเล็กตัวหนึ่งไว้ในร่มเงาของมัน ..ช่างเป็นความอบอุ่นและเสียสละ

ความอบอุ่นของผู้รับ ..และความเสียสละของผู้ให้


ต้นไม้..ที่ตั้งตระหง่านทนทานต่อดินฟ้าอากาศและกาลเวลา กิ่งก้านที่แผ่ขยายนั้น ถึงจะดูมีพลังแค่ไหนแต่ก็ไร้ประโยชน์ หากไม่ได้ก่อเกิดคุณค่ากับสิ่งใดหรืออะไรเลย ต้องมีบางสิ่งบางอย่างรองรับเพื่อให้มันได้ทำหน้าที่ ได้สร้างประโยชน์ ..ร่มเงาเหล่านั้นก็จะไม่สูญเปล่า

ชิงชาไม้ที่วางเคียงข้างอยู่นั้นก็เช่นกัน แม้จะผ่านการขัดเคลือบให้ดูดีแค่ไหน ซักวัน..แดดฝนและกาลเวลาก็จะค่อยๆกัดกร่อนทำลายความสวยงามที่มันเคยเป็นให้เก่า..เสื่อมโทรมลง หากแต่ได้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นั้นที่ช่วยบดบัง..ชะลอความโรยรานั้นไว้ได้

เรื่องราวของไม้ที่ถูกแปรสภาพกับไม้ที่กำลังยืนต้น
ถึงแม้จะแตกต่าง แต่ก็เป็นที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน


ใครคนหนึ่งบอกไว้แบบนั้น


ใต้เงาไม้เดียวกัน ร่างโรยแรงของชายสูงวัยที่นั่งพิงอยู่ตรงชิงชาไม้ที่ห้อยอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กับสมุดเล่มหนาที่วางอยู่บนตัก หากมองจากผิวพรรณและริ้วรอยคงอายุราวหกสิบถึงเจ็ดสิบ  มือบางภายใต้ผิวหนังยับย่นจนเห็นเส้นเลือดปุดโปนได้อย่างชัดเจน ความสั่นเทาน้อยๆเวลาขยับเคลื่อนไหวหยิบสมุดบันทึกข้างตัวขึ้นมาเล่มหนึ่งมาวางบนตัก

ปกสมุดเนื้อหนาถูกเปิดออกอย่างทนุถนอมและเบามือที่สุด ราวกับมันคือของล้ำค่า กระดาษแต่ละแผ่นบวมหนาจากการ กดเขียน และจดบันทึก
               
..สิ่งเดียวที่แทนการมีตัวตนของใครคนนั้น



สำหรับ...ผม


ตัวอักษรที่บรรจงเขียนอยู่ในหน้าแรก


มือบางสั่นน้อยๆ เริ่มเกลี่ยแผ่นกระดาษเพื่อเปิดไปยังหน้าที่ถัดไป

...


-วันแรกของการบำบัด-

ผม.. อีชานฮี อายุ 35 ชอบฟังเพลงและเคยทำงานร้านซีดี แต่เพราะป่วยเลยเปลี่ยนมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้พร้อมๆกับการรักษา

แปลกๆอยู่เหมือนกันที่ต้องมาเขียนอะไรแบบนี้ คุณหมออยากให้ผมบันทึกให้ได้ทุกๆวัน จะเป็นจดหมายก็ไม่ใช่ จะเป็นไดอารี่ก็ไม่เชิง ถึงจะบอกว่าเขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียน แต่ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรอยู่ดี..

ผมใช้ชีวิตที่นี่คนเดียวมา3ปี จนได้เจออีบยองฮอนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหายไปทำอะไรที่ไหน.. กลับมาก็เป็นนักแต่งเพลงมีชื่อซะแล้ว แต่งเพลงเดียวเก็บเงินกินได้เป็นปีเลย น่าอิจฉาชมัด..
.
.
.

ก็ไปอยู่อังกฤษไงเล่า..
คำเปรยที่มาพร้อมรอยย่นตรงหางตาจากเจ้าของรอยยิ้มกับข้อความในสมุดบันทึก

บยองฮอนก็ชอบฟังเพลงเหมือนผม แต่เขาเล่นดนตรีและเขียนเพลงได้ด้วย แต่หลังๆมานี้ผมแทบไม่เห็นเขาเล่นดนตรีเลย เพลงของเขาน่ะเหรอ ก็มีแต่เพลงรักเลี่ยนๆ รักกันปานจะกลืนอะไรทำนองนั้น
.
.
.

เลี่ยนเหรอ.. แต่ก็ร้องได้ทุกเพลงนี่ ..ร้องเพราะซะด้วยสิ
ชายสูงวัยพูดคุยกับตัวหนังสืออีกครั้งอย่างอารมณ์ดี

...


-เดือนที่สองของการบำบัด-

ผม.. อีชานฮี อายุ 35 ชอบฟังเพลง ได้เจอกับบยองฮอนที่ร้านซีดี เคยเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ตอนนี้เป็นคนป่วยเต็มตัวแล้ว แย่จัง..

ผมอยู่โรงพยาบาลในฐานะคนป่วยมาได้สองเดือนเต็มๆแล้ว คุณหมอเห็นว่าอาการยังทรงตัวดี ไม่มีอะไรน่ากังวล จึงอนุญาติให้ออกมาเที่ยวบ้านบยองฮอนได้ บยองฮอนก็นั่งอยู่ข้างๆผมนี่แหละครับ คุณแม่ยังคงทำอาหารไว้เยอะตามเคย มีไข่ม้วนของโปรดบยองฮอน..อีกแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกินได้กินดี ไข่ม้วนฝีมือคุณแม่ก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่ให้ทำมาเผื่อผมที่โรงพยาบาลเกือบทุกวันนี่มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ ..ขอโทษนะครับคุณแม่
.
.
.
ตาเรียวเล็กหันไปมองกล่องบรรจุอาหารข้างๆตัว มือข้างหนึ่งหยิบตะเกียบพร้อมคีบไข่ม้วนชิ้นใหญ่เข้าปาก
ถึงว่าสิ.. หลังๆไข่ม้วนเหลือติดจานประจำเลย

...
  

-เดือนที่หกของการบำบัด-

ผม.. อีชานฮี อายุ 35 ผมชอบฟังเพลง บยองฮอนชอบหาเพลงใหม่ๆที่คิดว่าผมน่าจะชอบมาให้ฟังครับ บางเพลง ผมคิดว่าเพราะกว่าเพลงของเขาซะอีก ฮ่าๆๆ ขอโทษนะบยองฮอน

เข้าเดือนที่หกของการรักษา วันนี้คุณหมอให้ลองเปลี่ยนยาตัวใหม่ดู เพราะตัวเก่านั้นเกิดเอฟเฟ็คกับผมมากเกินไป แต่ยาตัวนี้ไม่แรงเท่าตัวก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลยังไงบ้าง  
.
.
.
นอกจากดื้อรั้นแล้ว นายยังดื้อยาอีกนะ
ร่างกายโรยแรงนั้นถอนหายใจ ไหล่บางห่อเข้าหากันทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดพิงพนักชิงช้า

...


-วันเกิดปีที่36ของผม-

ผม.. อีชานฮี อายุ36แล้วครับ

พวกเราฉลองวันเกิดกันที่โรงพยาบาล ถึงคุณหมอจะไม่บอกตรงๆผมก็พอจะเดาออกว่า คุณหมอคงเป็นห่วงอาการที่มีแนวโน้มที่ของโรคซึมเศร้าของผม มันช่างเป็นวันเกิดปีที่ผมหดหู่ที่สุด เราฉลองวันเกิดกันเงียบๆ3คน  มีผม บยองฮอน และบอมมี่

บยองฮอนเล่นกีตาร์ แล้วก็ร้องเพลงให้ผมฟังครับ แต่ผมกลับจำไม่ได้แล้วสิ ว่าเพลงที่บยองฮอนร้องนั้นชื่อเพลงอะไร แต่มันคงจะน่าฟังกว่านี้ถ้าเป็นเสียงร้องของคนอื่น ผมเพิ่งรู้ว่าบยองฮอนร้องเพลงไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
.
.
.
 “นายจะรู้จักได้ไงล่ะ นั่นมันเพลงใหม่ที่เพิ่งแต่ง ..เสียงชั้นมันแย่แต่ไหนแต่ไรแล้ว นายจำไม่ได้เองมากกว่า

...


-วันเกิดปีที่36ของบยองฮอน-

ผม.. อีชานฮี อายุ36 บยองฮอนก็เหมือนกัน

เราทั้งคู่อ้อนวอนคุณหมอจนยอมใจอ่อนให้ผมออกมานอกโรงพยาบาลได้ คืนนี้ผมค้างที่บ้านบยองฮอนครับ เพราะเขาเป็นคนบอกเองว่าไม่อยากทำอะไรให้มันดูวุ่นวาย แค่อยากใช้เวลาด้วยกันในวันที่พิเศษของเขา ผมเองก็ขอแค่คืนนี้เท่านั้น เพราะผมก็ไม่รู้จะตอบแทนอะไรบยองฮอนได้เลย นอกจากใช้เวลาที่มีอยากจำกัดด้วยกันให้มีค่ามากที่สุด

พอรู้สึกแบบนี้แล้วก็อดใจหายไม่ได้ ราวกับว่าเวลาของเราน้อยลงทุกทีจนต้องรีบกอบโกยมันไว้ ผมและบยองฮอน เราเข้าใจจุดนี้ตรงกันนะ ผมคิดว่าเราก้าวผ่านความรู้สึกเสียใจมาได้แล้ว และเราทั้งคู่กำลังพยายามใช้ชีวิตอยู่บนสภาพที่มันเป็นอยู่อย่างเข้าใจ
.
.
.
ชั้นจำคืนนั้นได้ดี และชั้นก็มีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง


สมุดบันทึกเล่มในมือถูกพัดปิดลงวางข้างตัว เพื่อหยิบเล่มหนาอีกเล่มขึ้นมาแทน



-ปีที่สองของการบำบัด-
ผม.. อีชานฮี อายุ 37

ผมกับบยองฮอนสรุปกันว่า เราจะหยุดการรักษาทุกอย่าง ไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อร่างกายของผมไม่ตอบสนองต่อการรักษา สองปีที่ผ่านมามีแต่ทรงกับทรุด มันอาจจะยังมีวิธีที่ดีกว่าแต่ผมกลับรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องฟังคำชี้แจงต่างๆจากคุณหมอถึงอาการป่วยที่มันไม่ดีขึ้นเลย นั่นยิ่งตอกย้ำถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวผม ผมแค่ไม่อยากทำตัวเป็นคนป่วย ต้องการกลับมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ทั้งผมและบยองฮอนเสียเวลากับมันมามากพอแล้ว ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ซักวันผมก็ต้อง ลืม อยู่ดี ยื้อไปมันก็เท่านั้น
.
.
.

นายคงอดทนจนถึงที่สุดแล้วสิ นายยิ้มน้อยลงทุกวัน ..นั่นทำให้ชั้นเจ็บปวด


เรื่องราวของฉันเดินต่อไป จากตรงนั้น ไกลสุดไกล
เหมือนจะไกลจนลืมว่าเคยเกิดสิ่งเหล่านี้




-ปีที่สอง หลังหยุดรักษา-

ผม.. อีชานฮี

ผมยังจดบันทึกเรื่องราวประจำวันอยู่เหมือนเดิมและกลับไปให้คุณหมอตรวจเช็คร่างกายบ้างตามเวลานัด ทำแบบฝึกต่างๆเพื่อกระตุ้นการทำงานของสมอง

สองปีเห็นจะได้ที่มาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านไม้หลังเล็กสีขาวของครอบครัวบยองฮอน ภายในรอบรั้วมีต้นไม้ใหญ่คอยแผ่ปกคลุมสร้างร่มเงาให้ร่มรื่น บ่อยครั้งที่สับสน ตื่นมาพบว่าตัวเองอยู่แปลกที่แปลกทาง ทั้งๆที่ควรจะนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแต่ทำไมจู่ๆถึงมาอยู่ที่นี่ แต่พอหลังจากนั้นไม่กี่นาทีที่ตื่น ผมจะเห็นใบหน้าของใครบางคน และเมื่อนั้นคำตอบทุกอย่างของความสับสนก็วิ่งเข้ามาในหัว

เราใช้ชีวิตที่มีแค่กันและกันมาร่วมสองปีแล้ว


กระดาษสมุดถูกพลิกเปิดไปทีละหลายๆแผ่น ปลายนิ้วอันสั่นเทาน้อยๆนั้นพยายามแทรกตัวมันผ่านลงระหว่างหน้าที่มีเศษกระดาษเล็กๆคั่นไว้

...


-วันสุดท้ายของผม-

ผมอยู่ในบ้านหลังเล็กสีขาวหลังหนึ่งที่มีแต่เสียงเครื่องดนตรีดังอยู่เกือบจะตลอดเวลา ยิ่งนับวันความเป็นตัวตนก็ยิ่งถูกลืมไปจากสามัญสำนึกของตัวเอง มีแค่ตัวหนังสือจากสมุดบันทึกเล่มเก่าๆเท่านั้นที่บ่งบอกว่าผมเป็นใคร เพิ่งจะเข้าใจแล้วว่าทำให้คุณหมอถึงอยากให้ผมได้บันทึกสิ่งรอบตัวเก็บไว้ มันมีประโยชน์แบบนี้นี่เอง

ทุกวันนี้ ผมไม่สามารถเข้าใจบทเพลงใดๆได้อีกแล้ว เสียงที่พริ้วไหวผ่านเข้ามาให้ได้ยิน แต่ไม่สามารถสัมผัสหรือซึมซับความรู้สึกใดๆได้อีก ผมจึงอยากแค่หยุดความทรงจำของตัวเองไว้ที่จุดนี้ เพื่อวันต่อๆไปที่ผมจะลืมมัน อย่างน้อยก็จะมีแค่เรื่องราวดีๆไว้ให้ระลึกถึง ผมคงจะต้องอ่านมันวนไปวนมา ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าในที่สุด ผมจะลืมแม้กระทั้งวิธีอ่าน และเมื่อนั้นผมคงจะอยู่กับความว่างเปล่า หลงลืมทุกความรู้สึกที่มนุษย์รู้จัก แม้กระทั้งความรัก


แต่ในวันที่ฝน ร่วงจากฟ้า วันที่มองหาใครก็ไม่มี
วินาทีนั้นจะมีบางอย่างที่สำคัญ เกิดในใจฉัน


สำหรับ...ผม

บยองฮอน.. ผู้เป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ ความเสียสละอันใหญ่หลวงทำให้ผมอบอุ่นภายใต้ร่มเงาของความรักความห่วงใยมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ผมเอาแต่โทษพระเจ้าว่า หากท่านบันดาลใครบางคนที่แสนวิเศษ ประทานคนที่มาสร้างความสุขสำหรับชีวิตผมแล้ว ทำไมท่านไม่อนุญาติให้ผมอยู่กับเขาให้นานกว่านี้ ทำไมต้องทำให้ผมเป็นฝ่ายทอดทิ้งให้เขาต้องเดียวดายในซักวัน ทำไมไม่ให้โอกาสเราได้ดูแลกันไปจนถึงวันที่ร่างกายโรยรา ..เพราะมันเป็นบัญชาจากพระเจ้า ผมจึงทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ

ผมลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปนานแล้ว ที่เป็นกังวลมากกว่าก็คือ ถ้าไม่มีอีชานฮีคนนี้ อีบยองฮอนจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ผมอยากรู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตที่ทุ่มเทให้ผมมาตลอดอย่างมีความสุขได้หรือไม่ อยากรู้ว่าเขาจะยิ้มหรือหัวเราะได้บ่อยแค่ไหน ถ้าไม่มีผม คนแรกที่จะได้ฟังเพลงของบยองฮอนจะเป็นใคร กีตาร์ตัวนั้นถ้ามันไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาเล่นอีกยังจะมีคนคอยดูแลเช็ดถูหรือไม่

ถ้าบยองฮอนเหงา ผมอยากให้เขายิ้ม มากกว่าที่จะร้องไห้ เวลาที่คิดถึงผม

และหากพระเจ้ายังคงมองผมอยู่..




ปกหลังของสมุดบันทึกเล่มหนาปิดลงอย่าเบามือ พร้อมหยดน้ำที่ตามร่วงหล่นลงบนกระดาษหนา
.
.
.
ดูสิ นี่มันสมุดบันทึกของนายเองแท้ๆ แต่ทำไมมันมีแต่เรื่องของชั้นล่ะชานฮี มันตลกไปรึเปล่าที่ชั้นต้องมานั่งอ่านเรื่องของตัวเองจากสมุดบันทึกของนาย

บยองฮอนแหงนหน้ามองฟ้า ยิ้มน้อยๆให้กับแสงนวลยามพระอาทิตย์คล้อยต่ำจนใกล้จะลับขอบฟ้า เส้นผมสีหมอกลู่พริ้วไปตามแรงลมหนาวจนต้องกระชับเสื้อคลุมให้กระชับแนบตัวมากขึ้น



กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน
ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไปไหน
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ (ในความทรงจำ)
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน



คุณ..!

บยองฮอนค่อยๆเอียงหน้าไปหาเสียงเรียกนั้น พยักหน้ายิ้มตอบส่งสัญญาณรับรู้ ก่อนรวบสมุดหนาสองสามเล่มไว้ในมือข้างหนึ่ง ปิดฝากล่องไข่ม้วนและถือมันด้วยมืออีกข้าง

คราวนี้ไม่อร่อยเหรอ เหลือตั้งหลายชิ้น
เสียงเดิมเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้ หวังมาช่วยประคองร่างบางให้เดินได้ถนัดขึ้น

อร่อย.. แต่อ่านเพลินไปหน่อยจนลืมกินน่ะ เก็บไว้หลังสอนเด็กๆละกัน ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย
ไม่เป็นไร.. ผมช่วยถือนะ
บยองฮอนยิ้มรับแล้วยื่นสมุดบันทึกเล่มหนาในมือไปให้

อ่านอีกแล้ว..
จำได้ด้วยเหรอ
บยองฮอนแกล้งว่าแหย่

จำได้.. แต่มันคืออะไรบอกได้มั้ย


ก็แค่เรื่องเล่าของคนรู้จักน่ะ

บยองฮอนตอบออกไปเรียบๆ แค่ตอบออกไปสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือสาธยาย เพราะอย่างไรก็ต้องตอบคำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำอักอยู่ดี

เหรอ.. ผมรู้จักด้วยหรือเปล่า
บยองฮอนมองแววตาที่มีแต่ความสงสัยนั้นแล้วก็ต้องยิ้มให้อีกครั้ง

คิดว่าน่าจะรู้จักนะ หรืออาจจะรู้จักดีด้วย
อืม.. งั้นเล่าให้ผมฟังบ้างสิ
ได้.. แต่วันหลังนะ ตอนนี้ได้เวลาสอนเด็กๆแล้ว


ใบหน้าเรียวเล็กที่ยับย่นไม่ต่างกันยกยิ้มเต็มแก้มอย่างพอใจ ไม่ว่าผ่านการเวลามาแค่ไหน บยองฮอนก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่สวยงาม ขอแค่มีใครอีกคนเคียงข้างกัน ความทรงจำใดนั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป




และหากพระเจ้ายังคงมองผมอยู่ ผมขอแค่ร่างกายนี้ได้อยู่เคียงข้างกันให้นานที่สุด

หากพระเจ้าจะขอคืนความสุขที่เคยประทานให้ ผมก็จะไม่ว่าอะไร




ประตูบานไม้สีขาวค่อยๆปิดลง



เธออยู่ตรงนั้นสบายดีไหม
ฉันอยู่ตรงนี้เป็นเหมือนเดิม
คิดถึงเธอทุกวัน (คิดถึงเธอทุกวัน)
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง สักวันเราคงได้พบกัน



[ บ้านสอนดนตรี อีบยองชาน ]




-HAPPY ENDING-




>>> กาลครั้งหนึ่ง : แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข Feat. Palmy อีฟ ปานเจริญ

Album : Stamp Sci-Fi
Music & Words, Arrange, Guitar Design, Vocals : Stamp
Vocals : Palmy อีฟ ปานเจริญ


  
เรื่องราวชีวิต เดินต่อไป จากตรงนั้น ไกลสุดไกล
เหมือนจะไกลจนลืมว่าเคยเกิดสิ่งเหล่านั้น
แต่ในคืนเหน็บหนาว เกินจะต้านทาน
คืนที่ความเหงา เข้ามาฉับพลัน
คืนนั้นจะมีความรู้สึกพิเศษและสำคัญ ปรากฎในใจฉัน

กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน
ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไป
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ (ในความทรงจำ)
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน

ฉันจะอยู่ โดยที่รู้ว่าทุกนาทีนั้นแสนพิเศษ
ฉันจะทำ (ฉันจะทำ) ทุก ๆ สิ่ง (ทุก ๆ สิ่ง)
ให้เธอภูมิใจเมื่อได้เห็น



คุยๆ เป็นฟิคที่เกิดขึ้นไวราวสายฟ้าฟาด 555 เหตุเกิดเพราะฟังเพลงแล้วชอบ (เหมือนเดิมเลย) ฟังครั้งแรก ก็น้ำตาไหลเลย ฟังอีกครั้ง ฟังแบบคิดตามเนื้อร้องไปทีละบรรทัด สะอื้นเลย พอสะอื้นสมใจก็เริ่มอยากระบายละ แล้วอยู่ๆเรื่องของคุณนักดนตรีก็วิ่งเข้าหัวมา อ้าว.. แกเขียนตอนจบไปแล้วนี่ ก็ใช่.. เขียนไปแล้ว แต่ก็คิดถึงอยู่นะ ..หาเรื่องแถเขียนต่อ ถือว่าเป็นบทสรุปก็ได้ค่ะ ^ ^"


พอเนื้อเพลงได้ พออารมณ์มา พล็อตมันก็เกิดด้วยความว่องไว จนกลายมาเป็น Song Fic เรื่องนี้นั่นเอง เราขอไม่ใช้ชื่อเก่าของต้นเรื่องนะ รู้สึกว่าตอนนี้มันก็มีความเป็นเอกภาพของมันพอสมควร แต่ถ้าใครจะโยงถึงกันก็ไม่ว่าอะไร แล้วแต่อารมณ์คนอ่านเช่นกันค่ะ



PS. เขียนไป ยิ้มไป น้ำตาไหลไปบ้าง


อ่านกันเอาซึ้งนะคะ ..อยากให้ซึ้ง ^-^




2 comments:

  1. กลับมาอ่านอีกครั้ง ก็ยังซึ้งนะคะ T^T

    ReplyDelete
  2. กลับมาอ่านอีกครั้งก็ยังยิ้มออกมา แอบคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆจังค่ะ

    ReplyDelete