Can’t remember to forget you




ความทรงจำมากมายกำลังกลับมา
ฉายภาพช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน
เมื่อเธอมองเห็นฉันกำลังหัวเราะในบางครั้ง

เธอถามฉันว่า ฉันกำลังไปได้ดีใช่ไหม

















เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ลูกค้าจะค่อนข้างเยอะกว่าปกติ ชานฮีและจงฮยอนจึงมักจะอยู่ช่วยงานกันจนกระทั่งปิดร้านเป็นประจำ ถ้าไม่นับฮเยริที่จะมาเป็นแคชเชียร์เฉพาะวันหยุดแบบนี้ ก็ถือว่ามีพวกเขาแค่สองคนเป็นพนักงานประจำร้าน

อ้อ พี่ชานฮี เมื่อวานมีคนมาถามหาพี่ด้วยนะ แต่ผมไม่ยักกะคุ้นหน้า”   จงฮยอนเอียงคอเล็กน้อยแบบเด็กขี้สงสัย เพราะปกติลูกค้าที่มาถามหาชานฮี เขาจะต้องรู้จัก


...ใคร?

ชานฮีชะงักมือเล็กน้อย เขาไม่ได้มีเพื่อนหรือคนรู้จักเยอะแยะที่จะแวะเวียนมาหา

เหรอ แล้วเค้าว่าไงบ้าง”   ชานฮีเพียงเบี่ยงหน้ามาถาม แล้วก็หันไปสนใจกับกองซีดีในมือต่อ ค่อยๆจัดวางมันตามตัวอักษรบนชั้นวางทีละแผ่น

ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนะ เค้าก็แค่ถามหาพี่ พอผมบอกว่าเลิกงานกลับไปแล้ว เค้าก็กลับไป”   พูดจบก็ยกมือยีหัวตัวเอง

...ก็คงเป็นลูกค้าที่เคยคุยกันถูกคอ มาให้แนะนำเพลงละมั้ง แต่แค่ไม่คุ้นกับจงฮยอนมากกว่า
คล้ายเป็นการปัดความสงสัยนั้นทิ้งไป


...แนะนำเพลงเหรอ

ถือว่าผมติดหนี้คุณอยู่ละกัน แล้วไว้ผมจะมาชดใช้ให้ ...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คุณอีชานฮี
รูปหน้าใครบางคนโผล่ขึ้นมาในความคิด

เจ้าของดวงตาเรียวคมจากอายไลน์เนอร์


...หรือจะเป็นลูกค้าคนนั้น




กรุ๊ง~กริ๊ง~

สวัสดีคร้าบ”   เสียงสดใสจากจงฮยอนเอ่ยต้อนรับลูกค้าโดยอัตโนมัติ

อ๊ะคุณคนเมื่อวาน..”
ชานฮีหันไปมองในทันที

ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามา ยืนหอบเล็กน้อย
และ..กำลังเดินมาทางเขา



ชั้นกลับมาแล้วนะ ..ชอนจิ”   

คำเรียกชื่อและรอยยิ้มแบบนี้ จริงสินะ..รูปหน้าแบบนี้  จะลืมได้ยังไง

“..ชางบอม”  

เบาเสียจนเหมือนเสียงนั้นมันพัดมากับสายลม


. . .



กรุ๊ง~กริ๊ง~

สวัสดีคร้าบ”   ยังคงเป็นจงฮยอนที่ขานรับเสียงกระดิ่ง
ยังไม่ทันจะพูดอะไร คนที่เพิ่งเข้าร้านมาก็เอาแต่ยืนชะเง้อ เหมือนกำลังมองหาใครซักคน..
มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”  จงฮยอนโค้งให้เล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปหา
คือผมมาหาคุณชานฮีน่ะครับ”  
หืม..? พี่ชานฮีอีกแล้ว ช่วงนี้เนื้อหอมจัง”  
เอ๊ะ?”   คนตรงหน้าจงฮยอนเอียงคอเล็กน้อย
อ่อ เปล่าครับ คือพี่ชานฮีเพิ่งเลิกงานไปเมื่อกี้เอง ถ้าคุณจะหาซีดีผมช่วยได้นะครับ”   จงฮยอนส่งยิ้มตาหยีกลับไป
บยองฮอนก้มหน้า คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด
งั้น.. ผมรบกวนหน่อยนะครับ


. . .


จงฮยอนมองถุงกระดาษในมือ ..ที่ผู้ชายคนนั้นขอให้ช่วย คือสิ่งนี้หรอกเหรอ

มีอะไรเหรอจงฮยอน ผู้ชายคนนั้นหล่อจนอึ้งไปเลยล่ะสิ”  เสียงเอ่ยแซวจากฮเยริ
อืมใช่.. จะบ้าหรา ชั้นผู้ชายนะฮ้าาา...”   จงฮยอนทำเสียงอ่อนเสียงหวาน กรีดกรายนิ้วมือ เรียกเสียงหัวเราะจากฮเยริได้ไม่น้อย
ชั้นชอบแบบนี้มากกว่า”  เขาปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่แม้แต่จะละสายตาจากเด็กสาว
นายยังไม่ตอบชั้นเลยนะ ..มองอยู่ได้”  ฮเยริปิดบังอาการเขินอาย ทำทีเป็นวกกลับเข้าเรื่องที่ถามค้างไว้
ก็แค่สงสัยน่ะ ปกติชั้นไม่ค่อยเห็นพี่ชานฮีมีเพื่อนซักเท่าไหร่ อย่างที่มหาลัย ก็เห็นไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด แต่วันนี้ดันมีคนมาหาถึงสองคน คนนึงก็เรียกชื่อพี่ชานฮีแปลกๆ ส่วนอีกคนก็มีข้าวของมาฝาก ..ไม่รู้ว่าพี่เราฮอตตั้งแต่เมื่อไหร่”   
เสียงงึมงำจนเหมือนบ่น ไม่รู้ว่าตอบคำถามฮเยริหรือพูดกับตัวเองกันแน่ ปากว่าไป มือก็เดินหอบซีดีที่ชานฮีทำค้างไว้ ขึ้นเรียงตามชั้นวาง ในเวลาที่ลูกค้าบางตาลงการเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทางก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของพนักงาน ทิ้งให้คนหน้าเคาท์เตอร์แคชเชียร์ยืนงงกับความเอาแน่เอานอนของจงฮยอนไม่ได้

จริงๆแล้วในเวลาปกติ นี่ยังไม่ใช่เวลาเลิกงานของชานฮี แต่เพราะเห็นสีหน้าตอนที่เจอผู้ชายคนนั้น ดูเหมือนคนทั้งคู่น่าจะมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันแน่ แต่จะให้มาคุยกันในที่แบบนี้ก็คงจะไม่เข้าท่าเท่าไหร่ อีกอย่างนี่ก็ใกล้เวลาปิดร้านพอดี เขาจึงอาสาอยู่ร้านต่อให้ อย่างน้อยก็มีฮเยริช่วยอีกคน ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร

เห็นหน้าหวานๆแบบนั้น พอเอาเรื่องขึ้นมา น่ากลัวชะมัด”   จงฮยอนยังจำสายตาที่ชอนจิมองคนแปลกหน้าคนนั้นได้ ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นสายตาแบบนั้นเลย

นี่ ฮเยริ เรื่องวันนี้ขอเป็นความลับนะ”   จงฮยอนขยิบตาส่งให้หญิงสาว
อ้อ”  เสียงรับคำแบบเขินอาย ทำให้จงฮยอนยิ้มตอบอีกครั้ง

.
.
.

นานแค่ไหนแล้วนะ ..ชอนจิ”   
ชายหนุ่มเริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ออกมาจากร้านซีดีจนถึงตอนนี้ชานฮียังคงเงียบ


...จริงสิ ไม่ได้ยินชื่อนี้ มานานแค่ไหน


กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”  สุดท้ายเสียงบางก็ยอมเอ่ยขึ้น แต่กลับไม่ได้สนใจคำพูดก่อนหน้านั้น น้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ ใบหน้ายังคงก้มมองสองมือที่อังแก้วโกโก้ร้อน ซึ่งมันไม่พร่องลงซักนิด จนตอนนี้เริ่มจะเย็นเสียแล้ว

ก็สามสี่วันแล้วล่ะ พอดีมีเรื่องต้องกลับมาเคลียร์”   เมื่อเห็นว่าอีกคนยังดูไม่ยินดียินร้าย ชางบอมจึงตอบเสียงเรียบกลับไปเช่นกัน

ดวงตากลมโตสั่นไหว สองมือกระชับแก้วใบนั้นแน่นขึ้น ใจยิ่งสั่นเมื่อนึกถึงว่าคนตรงหน้าเป็นใคร คำถามร้อยแปดที่อยากจะหยิบมาพูด แต่ถูกความน้อยใจ เสียใจ มากจนก่อให้เกิดทิฐิ ทุกอย่างจึงถูกเก็บซ่อนในความเงียบ หรือมันอาจเป็นการจงใจกดดันคนตรงหน้าเขา ให้เข้าใจถึงความอึดอัด

ชอนจิ เมื่อก่อนนายช่างคุยกว่านี้นะ”  ชางบอมทิ้งนัยยะในคำพูดมาตั้งแต่แรก ชานฮีรู้ ..แต่แค่ทำเป็นไม่สนใจ

ก็ไม่รู้สินะ นั่นมันก็ผ่านมานานแล้ว อะไรๆก็เปลี่ยน.."    ชานฮียักไหล่น้อยๆ วางแก้วโกโก้ลงบนโต๊ะ ปรับท่านั่งเป็นเอนตัวพิงพนักอย่างผ่อนคลาย ยกขาขึ้นไขว่ห้าง วางมือทั้งสองบนตัก สีหน้าเรียบเฉย


...อย่าทำเป็นเย็นชาเลยชอนจิ แววตาของนายยังซื่อสัตย์กว่าเลย


แต่ชั้นกลับไม่คิดอย่างนั้นนะ  ...นายไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด"   ชางบอมไม่ได้สะทกสะท้านกับท่าทีนั้นเลย ยังคงเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น แววตาชานฮีไม่เคยหลอก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว


...พูดเหมือนนายรู้จักชั้นดีนะชางบอม


และ..ชั้นก็หวังว่า เรายังเป็นเหมือนเดิม”  
เพราะไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ ทำให้น้ำเสียงชางบอมแผ่วลงอย่างชัดเจน

รู้มั้ยชางบอม ประโยคนี้ชั้นเคยคิดจะถามนายนะ”   ชานฮีแสยะยิ้ม
แต่มาถึงตอนนี้ ก็คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ นายให้คำตอบชั้นนานแล้ว"   ไม่ต้องรอให้ชางบอมพูดอะไรต่อ


...ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมันเป็นคำตอบได้ดีแล้ว ชางบอม


ชางบอมขมวดคิ้ว ก่อนลดใบหน้าลงมองต่ำเหมือนเป็นการสำนึก
ชั้น..ขอโทษ”  น้ำเสียงยิ่งแผ่วลงกว่าเดิม เขาเค้นเสียงออกมาได้แค่นี้จริงๆ

แต่อีกคนกลับได้ยินชัดเจนทุกคำ

และถ้าคนพูดจะเงยหน้า ก็คงจะได้เห็นอีกสายตาหนึ่งที่หม่นลงอย่างชัดเจนกับประโยคนั้นเช่นกัน

ชั้นมาเพื่อที่จะพูดทุกอย่าง”  สองมือบีบเข้าหากันแน่นขึ้น
ทุกๆอย่าง ที่ชั้นควรจะพูด ..กับนาย”   ชางบอมยังคงก้มหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่

ชานฮีมองมือที่กุมกันแน่นของคนตรงหน้า แววตาที่สั่นระริกนั้นไม่สามารถซ่อนน้ำหล่อเลี้ยงที่มันเอ่อจนมากเกินไปได้อีกแล้ว


...ไม่ไหวแล้วนะ ทำไมถึงยังอ่อนแอแบบนี้


ทำไมเพิ่งมา ..ไม่สิ นายควรจะหายไปเลยด้วยซ้ำ”   ทำนบน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กลั้นไว้พังทลายลง เพียงเพราะคำขอโทษประโยคเดียว น้ำตาอุ่นๆทำให้เกราะน้ำแข็งที่เจ้าตัวสร้างไว้ละลายไปเสียแล้ว
               
ชางบอมรู้สึกได้ในน้ำเสียง และเมื่อเงยหน้ามอง

ชอนจิ..”   เป็นอย่างที่คิด คนตรงหน้าเขาเพราะพยายามกลั้นน้ำตาจนเสียงสั่นเครือ


...ยิ่งกลั้น นายก็ยิ่งทรมาน นายร้องไห้เพราะชั้นแค่ไหนแล้วนะ


ชางบอมมองไหล่บางที่สั่นจากการสะอื้น สองมือเรียวยกขึ้นปิดหน้า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร เหมือนทุกครั้งที่คนคนนี้รู้สึกไม่สบายใจ คำพูดปลอบประโลมมันไม่จำเป็น เพียงแค่บางสัมผัสที่จะทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยต่างหาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาจะเป็นคนจับมือบางนั้นไว้เหมือนที่เคย เพื่อเป็นการปลอบใจ และขอโทษ 


...เพียงแค่นายจะยกโทษให้ แม้จะต้องคุกเขา ชั้นก็ยินดี ชอนจิ


ชั้น.. ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรไม่ได้หรอกชางบอม”   ชานฮียังคงก้มหน้า มีเพียงเสียงอู้อี้ปนสะอื้นที่พรั่งพรูออกมาอย่างสุดกลั้น

มืออีกคู่ที่กำลังยื่นออกไปหมายจะกุมมือบางนั้น ต้องชะงักทันที ด้วยความชั่งใจว่าตอนนี้มันอาจจะไม่จำเป็นซะแล้ว


...ขอโทษนะชางบอม ทั้งที่มีคำพูดมากมายที่อยากต่อว่านายให้สมกับสิ่งที่นายทำ แต่แค่นายมาอยู่ตรงหน้า ชั้นกลับทำไม่ได้เลย ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชั้นต้องทำยังไง



งั้น..ไว้เราค่อยคุยกัน วันนี้นายเหนื่อยแล้ว ..คงอยากมีเวลาคิด”   ชางบอมพยายามทำเสียงให้นุ่มหูที่สุด อยากถนอมความรู้สึกเอาไว้มากๆ

แต่ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆกลับมา

อย่างน้อยนะชอนจิ ถ้านายจะเกลียดชั้น ก็ขอให้ชั้นได้อธิบายบ้าง ปล่อยไว้แบบนี้ ชั้นก็เจ็บปวดไม่ต่างกับนาย”   น้ำเสียงนุ่มหูแต่กลับจริงจัง หนักแน่น

ดวงตาที่ยังแดงก่ำเปื้อนน้ำตาไปทั้งหน้า ค่อยๆเงยขึ้นมองคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ ชานฮีนิ่งคิดบางอย่างก่อนคลี่ริมฝีปาก..


...นายพูดว่านายเจ็บปวดเหรอ


เกลียด.. อย่าว่าแต่เกลียดเลย ชั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำชางบอม..ว่าตอนนี้ชั้นควรรู้สึกยังไง”   ชานฮีพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นไปกว่านี้

ชั้นจะมาหาอีก”   ชางบอมใช้น้ำเสียงตอกย้ำ นัยน์ตาจ้องมองเพื่อขอคำตอบ

ยังคงเป็นชางบอมคนเดิม นิสัยที่ชอบเอาชนะยังไม่เปลี่ยน ชานฮียิ้มน้อยๆให้กับความคิดนั้น สองมือปาดน้ำตาให้พ้นแก้ม สูดหายใจเข้าปอดอีกครั้ง

ไม่มีเหตุผลที่จะดื้อดึง การที่ชางบอมทำถึงขนาดนี้ ก็คงรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาบ้าง แต่มันไม่ใช่การให้โอกาสชางบอมได้อธิบาย แต่เป็นการให้โอกาสกับตัวเอง ได้ฟังสิ่งที่อยากได้ยินมานานมากกว่า


นานเกินไปหรือเปล่า..


อืม..

.

.

.


นั่นมาโน่นละ ทำเวลาดีนี่หว่า นึกว่าจะเลท”   เสียงตะโกนรับเมื่อร่างเพรียวเดินแบกกระเป๋ากีต้าร์ก้าวเข้ามาในห้องพักนักดนตรี

บยองฮอนปลดกระเป๋าใบใหญ่ลงจากบ่าวางราบกับพื้น รูดซิบหยิบเครื่องดนตรีพร้อมสมุดโน้ตเพลงออกมา

จะเริ่มซ้อมกันได้ยัง!   น้ำเสียงกระแทกกระทั้นทำเหมือนไม่ได้ยินประโยคทักทายที่น่ากวนใจจากเพื่อนร่วมวง บ่งบอกอารมณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก
เอาแล้ว.. ไปหัวเสียมาจากไหนครับคุณอีบยองฮอน..    เป็นแค่เสียงเหย้าแหย่จากใครบางคนในวงเท่านั้น บ่อยครั้งที่บยองฮอนอารมณ์ขึ้นๆลงๆ จนเพื่อนๆรู้กัน คิดเล็กคิดน้อยไปก็เปล่าประโยชน์
มาๆๆ ซ้อมครับซ้อม ไม่ต้องไปสนมันครับ เดี๋ยวพอลมพัดมันก็หายเอง

มีแค่สายตาเขม่นจากเจ้าตัวส่งกลับมา ก่อนจะได้ยินเสียงกลอง เบส และร้อง ดังก้องในห้อง

. . .


เป็นธรรมดาของย่านมหาวิทยาลัย แหล่งรวมคนรุ่นแสวงหาความสนุกสนาน อยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ จึงเต็มไปด้วยสีสันจากร้านรวงต่างๆนานาสารพัด และยิ่งเวลากลางคืนก็ยิ่งเพิ่มความคึกคักขึ้นเป็นทวีคูณ

บยองฮอนเลือกที่จะทำงานตามผับใกล้ๆมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพราะเป็นคนหลงแสงสี แต่ด้วยเหตุผลแค่ มันใกล้ห้องชมรม ที่หลับนอนส่วนตัวของเขาในยามที่ต้องรอเวลาก่อนไปทำงาน หรือบางคืนที่เสร็จจากเล่นดนตรีดึกมากๆ ก็ยังมีที่นอนก่อนรถไฟเที่ยวแรก หรือไม่ก็อีกวันที่มีเรียนเช้า

เขาเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่ย้ายตามครอบครัวไปอยู่อเมริกาใหม่ๆ สังคมเพื่อนพ้องของพ่อที่โน่นนิยมพาลูกหลานไปเรียนดนตรีหรือไม่ก็เล่นกีฬา อ้างว่าเป็นการเสริมทักษะพัฒนาการโน่นนี่นั่น แล้วแต่จะว่ากันไป แต่จะมีซักกี่คนที่คิดแบบนั้นจริงๆ เขาเคยนึกตลกกับค่านิยมพวกนั้น ก็แค่อยากอวดรสนิยม เสริมสถานะภาพทางสังคมกันก็เท่านั้น เครื่องดนตรีชิ้นแรกของเขาคือไวโอลิน แล้วก็เปียโน และถึงแม้จะถูกบังคับในทีแรก แต่เสียงดนตรีเหล่านั้นกลับเติมเต็ม และทำให้เขาเปิดใจ จนหลงรักมันในที่สุด ความสนใจในดนตรีทำให้เขาค่อยๆค้นพบตัวเอง จากเปียโน ก็เปลี่ยนมาเล่นกีตาร์คลาสิค ฟังเพลงป๊อบ โฟล์ค และร็อคมากขึ้น จนความสนใจในดนตรีคลาสิคค่อยๆลดลง สุดท้ายก็กลายเป็นกีตาร์โปร่ง และกีตาร์ไฟฟ้า เขายังนึกขอบคุณพ่อในบางที อย่างน้อยก็เป็นคนที่ทำให้เขารู้จักกับดนตรี ไม่น่าเชื่อว่าดนตรีจะช่วยเยียวยาความรู้สึกของคนเราได้จริงๆ และด้วยพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว อย่างน้อยเขาก็เชื่อแบบนั้น ก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะหาเลี้ยงตัวเองจากความสามารถนั้นได้ด้วย

ในวัยช่างฝันอย่างเขา ที่คิดอยากสร้างแผ่นโน้ตเพลงของตัวเองขึ้นมาสักชิ้น อยากให้คนที่ได้ฟังมัน มีความรู้สึกร่วมไปกับเพลงที่เขาแต่ง อยากให้เนื้อเพลงของเขาปลอบประโลมจิตใจของใครได้บ้าง ..สักวัน

.


.


.


อ่ะนี่ครับ”  ถุงกระดาษสีน้ำตาลถูกยื่นมาตรงหน้า ขัดจังหวะการนั่งฟังเพลงในเวลาพักเบรคของชานฮี
เขารับมาถือไว้ และก่อนจะถามอะไร

เมื่อวานหลังพี่ออกไปแป้บนึง ก็มีคนมาหา แล้วก็ฝากไอ้นี่ไว้ให้”   จงฮยอนยืนกอดอก เอียงตัวพิงตู้ล็อคเกอร์ สายตาตั้งคำถาม
คนนี้ผมก็ไม่คุ้นเหมือนกัน..

ข้อเสียอย่างหนึ่งของจงฮยอนก็คือ ชั่งสังเกตและขี้สงสัย ..จนเกินไป

ชานฮีรู้ดีในท่าทีแบบนั้น ตาที่ยังบวมและแดงก่ำ เพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เป็นเพราะเมื่อคืนที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของชางบอม ปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมกับเรื่องเก่าๆ จนสภาพมันฟ้องออกมาขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่เด็กคนนี้จะต้องสงสัย

อะไร.. ให้แล้วก็ไปสิ อ่อ ขอบใจนะจงฮยอน”   ชานฮีตบบ่าเด็กขี้สงสัยเบาๆเป็นการขอบคุณ แกล้งทำเป็นไม่สนใจกับท่าทางแบบนั้น
เฮ้อ.. หมู่นี้ความลับเยอะจังเลยน้าาา อ้อ..หาน้ำแข็งประคบตาหน่อยก็ดีนะฮะ ตุ่ยจนจะเป็นปลาทองแล้ว”   เพราะความหมั่นไส้ของจงฮยอน จึงอดไม่ได้ที่จะแขวะพี่ แอบหงุดหงิดกับท่าทีไม่รู้ไม่ชี้แบบนั้น เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้เรื่องอะไรก็เดินออกไป

ชานฮีชักสีหน้าไล่หลังเด็กแสบ ก่อนจะหันมาสนใจกับถุงกระดาษสีน้ำตาลในมือ

กล่องกระดาษทรงลูกบาศก์เล็กๆ กับซองจดหมายสีชมพูลายจุดขาวถูกหยิบออกมาจากถุง และเมื่อแกะกล่องกระดาษดู มันเป็นแก้วเซรามิคพื้นขาวลายการ์ตูนรูปไข่ ชานฮีตาโตกว่าเดิมขึ้นเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเจ้าของถุงกระดาษนี้คือใคร รูปบนแก้วมันบอก

รูปไข่ไก่ สัญลักษณ์ของวงดนตรีที่เขาเคยให้ซีดีกับบางคนไป

ชานฮีรีบเปิดซองจดหมายที่ติดมาด้วยทันที ข้อความที่บรรจงเขียนไว้ด้วยหมึกซึมสีฟ้า เป็นตัวอักษรน่ารักเหมือนลายมือเด็กผู้หญิง



สวัสดีค่ะ

ชั้นยูจอง น้องสาวพี่บยองฮอนนะคะ
ต้องขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ
พี่บอกว่า คุณให้ซีดีพี่มาฟรีๆ และดีใจที่ได้รู้จักคนที่ชอบเพลงนี้เหมือนกัน
ออกจะเขินๆนิดหน่อยที่ได้รับของขวัญแบบนี้
ชั้นยังไม่มีโอกาสที่จะหาของตอบแทน เพราะยังต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอยู่
ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นแก้วใบนี้คุณน่าจะชอบ
พอดีชั้นซื้อมา2ใบ ตอนไปดูคอนเสิร์ตค่ะ
ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ใบนึง ส่วนอีกใบก็เอามาใช้ เพราะเห็นว่ามันน่ารักดี
แต่ตอนนี้คิดว่าให้คุณเป็นการขอบคุณน่าจะดีกว่า
หวังว่าคงชอบ
ไว้ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันนะคะ

ยูจอง

ปลพี่ชายชั้นชอบทำตัวเป็นเด็กหัวนอกจนน่าหมั่นไส้ บ้าแต่เพลงฝรั่ง ไม่ค่อยมีเทสต์ฟังเพลงแบบชั้นหรอกค่ะ ^-^



ชานฮีอดขำกับประโยคลงท้ายของจดหมายไม่ได้ เขาสอดมันกลับเข้าไปในซอง แต่เหมือนมีบางอย่างขัดอยู่จึงแง้มซองให้กว้างอีกนิด มันเป็นกระดาษแผ่นบางๆเล็กๆ แปะไว้กับกระดาษแข็งอีกแผ่น ลักษณะเหมือน..นามบัตร


=RESCUE=


เขาจำได้ว่า มันเป็นชื่อผับที่แอนดี้เคยพาไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนแก้เบื่อ ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่สองบล็อก ที่ติดมาด้วยคือกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาวบาง แบบเดียวกับกระดาษโน๊ตของที่ร้าน


ผมอีบยองฮอน ลูกค้าที่เกือบพังประตูร้านคุณ จำได้มั้ยครับ
คือของในถุงนี้ ยูจองน้องสาวผมฝากมาเป็นการขอบคุณ
เพราะคุณไม่อยู่ ผมเลยฝากคุณจงฮยอนไว้ให้
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป
วันจันทร์ สี่ทุ่ม ผมมีเล่นดนตรีกับเพื่อนๆที่ร้านตามนามบัตรน่ะครับ
จะเป็นโชว์พิเศษของวงเรา
พอดีเห็นว่าไม่ไกลจากร้านคุณเท่าไหร่
ผมก็เลยอยากจะเลี้ยงขอบคุณซักดริ๊งค์ ฮ่าๆ ^-^
ขอโทษที่ไม่ได้เชิญด้วยตัวเอง แล้วผมจะรอนะครับ

อีบยองฮอน


...ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นถึงขนาดนักดนตรี อืม..แต่ก็สุภาพกว่าที่คิดซะอีกนะ

ชานฮียิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกครั้งกับข้อความในกระดาษโน้ต

 ^-^    ...พี่น้องเค้าเหมือนกันดีนะ


ความคิดบางอย่างทำให้ชานฮีก้มมองกระดาษโน้ตนั้นอีกครั้ง


...วันจันทร์ งั้นก็วันนี้แล้วสิ!     


ก็แค่ไม่อยากเสียมารยาท ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการเชิญของอีบยองฮอน ยิ่งพวกไลฟ์แบนด์มันเป็นของโปรดอยู่แล้ว

พี่ชานฮี ผมจะออกไปส่งพัสดุให้พี่แอนดี้หน่อย ฝากหน้าร้านด้วยนะฮะ”   จงฮยอนส่งเสียงมาจากหน้าประตูห้องล็อคเกอร์
อ้อ มาพอดี วันนี้นายอยู่เก็บร้านคนเดียวได้มั้ย พอดีพี่มีธุระด่วนน่ะ” 
จงฮยอนคงเข้ามาผิดจังหวะ เลยทำให้ได้คำตอบที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่บอกไปเลย
อืม ตอบไม่ตรงคำถามนะพี่เนี่ยะ ..ได้ค้าบ แต่ตอนนี้ผมฝากร้านก่อนนะ”  
ชานฮีต้องก้มดูนาฬิกาข้อมือ ถึงรู้ว่ามันเลยเวลาพักเบรคมาแล้ว เขาควรจะออกไปทำงานต่อ ก่อนที่จะสวมชุดคลุมกันเปื้อนเครื่องแบบของร้าน เดินออกจากประตูไป


ในห้องล็อคเกอร์เงียบลงอีกครั้ง จะมีก็แต่เสียงเพลงเบาๆจากหูฟังเครื่องเล่นmp3ที่ใครบางคนเปิดฟังค้างไว้

.

.

.

ด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น หน้าตาสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ขัด ผิดกับเมื่อช่วงเช้า ทั้งๆที่ขอบตายังเหลือร่องรอยบวมตึง แต่ก็มีประกายกว่ามาก เขาสังเกตเห็นชานฮีมองนาฬิกาบ่อยจนผิดปกติ แต่ถึงให้ถามอะไรไปก็ไม่ได้คำตอบจากเจ้าตัวแน่นอน จงฮยอนได้แต่เก็บความสงสัยไว้
จงฮยอน งั้นพี่ไปเก็บของก่อน โทษทีนะ ธุระสำคัญจริงๆ”   ทั้งๆที่ก็รู้สึกผิดที่กินแรงน้อง แต่ผ้ากันเปื้อนก็ถูกปลดออกเรียบร้อย ทำได้แค่ส่งยิ้มให้หวานที่สุดเป็นการไถ่โทษ
งั้นพี่ก็ต้องบอกผมทุกอย่างนะ ว่าอะไรเป็นอะไร”   จงฮยอนยืนกอดอกทำท่าเหมือนคนที่รู้สึกเป็นต่อ
นี่ไง!..ไม่มีเป็นอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้เด็กขี้สงสัย”   ชานฮีเดินเข้ามาดีดหน้าผากจงฮยอน ก่อนเข้าห้องล็อคเกอร์ไป ทิ้งให้อีกคนยืนหน้าบึ้งลูบหน้าผากเพราะความเจ็บ




กรุ๊ง~กริ๊ง~

จงฮยอนเบนความสนใจกลับมาหาลูกค้าที่เพิ่มเข้ามา
อ้าว..คุณอ๋อ นัดพี่ชานฮีไว้ใช่มั้ยฮะ”  จงฮยอนเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งเข้ามา
เป็นจังหวะเดียวกันที่..
พี่ไปละนะ จงฮย..”   คำพูดถูกกลืนหายลงคอ เมื่อชานฮีเห็นใครบางคนยืนคุยกะจงฮยอนอยู่




ยิ้มบางๆถูกส่งมาให้

ชอนจิ ชั้นมารับ” 







-TBC-




수많은 기억들이 떠올라
ความทรงจำมากมายกำลังกลับมา
함께했던 시간을 꺼내놓고
ฉายภาพช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน
오랜만에 웃고 있는  보며
เมื่อเธอมองเห็นฉันกำลังหัวเราะในบางครั้ง
 지냈었냐고 물어 보네
เธอถามฉันว่า ฉันกำลังไปได้ดีใช่ไหม

스쳐가는 많은 계절이
ฤดูกาลต่างๆซึ่งหมุนเวียน
 이렇게도 마음 아픈지 모르겠어
ฉันไม่รู้ว่า ทำไมหัวใจของฉันถึงได้เจ็บปวดแบบนี้
그대여우리 함께했던  많은 시간이
ช่วงเวลาต่างๆที่เราอยู่ด้วยกัน
어디서부터 잘못  건지 모르겠어
จากตรงจุดไหนกัน ที่พวกเราได้เดินทางผิดไป

ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ


>>> Epitone Project - AT DAWN (새벽녘)

>>> With Thai Sub



Credit:
Princess.of.Tea : lyrics (Hangeul, Romanization & Translation)
itJzilla : Thai Trans








..ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ






1 comments:

  1. ชางบอมคะไปทำอะไรให้ชานฮีเขาเจ็บปวดขนาดนี้คะ งื้ออออ มันดูเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เศร้ามากด้วย เหมือนคนมีแผลเก่าที่แอบเก็บไว้ แล้วสะเก็ดแผลกำลังจะแห้งดีทุกอย่างกำลังโอเค แต่แล้วสะเก็ดแผลนั้นก็โดนสะกิดจนแผลเปิด น่าสงสารตรงที่ไม่รู้แม่แต่ควรจะต้องทำยังไง และรู้สึกอย่างไรนี่ล่ะ
    บยองฮอนแค่ไม่ได้เจอกับชานฮีมีแอบเหวี่ยงเพื่อนด้วยนะคะ แอบสนใจเขาเหรอ😁😁😁

    ReplyDelete