Love Triangle




เวลาที่ฉันเห็นเธอตกที่นั่งลำบาก ...  
ฉันจะคุกเข่าลงและอธิษฐาน  
รอจนถึงนาทีสุดท้าย
ที่เธอจะพูดคำๆนั้น ที่ฉัน..พูดไม่ได้ ...





















มาถึงนี่แล้ว จะไม่เข้าไปจริงๆเหรอ”   ทันทีที่รถจอดสนิท ชางบอมหันไปถามคนข้างๆอีกครั้ง คนที่บอกว่า แค่อยากนั่งรถออกมานอกเมืองด้วยกัน

“ ... ”   
ชานฮีเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ ก่อนจะเปิดประตูรถลงไปก่อน

เสียงปิดประตูรถอีกด้านดังตามมา
รอคนเดียวได้นะ?”   ชางบอมยืนประจันหน้าเพื่อขอความมั่นใจ
ชั้นไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่ไปวิ่งเล่นซนที่ไหนหรอก”   ชานฮีถอนหายใจเบาๆ แกล้งทำตาขวางออกไปแบบทีเล่นทีจริง

ไม่มีการเซ้าซี้อะไรอีก ชางบอมตัดสินใจเดินอุ้มช่อดอกไม้เดินเข้าไปเพียงลำพัง

ชานฮียืนมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นค่อยๆเดินห่างออกไป ตากลมโตจึงเริ่มสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนไปรอบตัว แม้จะเห็นแค่ภายนอกแต่ก็ชัดเจนพอที่เห็นได้ว่า สวนแห่งนี้ได้รับการตกแต่งดูแลใหม่เป็นอย่างดี ผิดกับเมื่อหลายปีก่อนที่ถูกปล่อยปละละเลยให้ค่อนข้างรกร้างจนดูวังเวง เขายังจำความรู้สึกในครั้งแรกที่เข้ามาที่นี่ได้ 


และนี่เป็นอีกครั้งที่ต้องกลับมาอย่างปฏิเสธไม่ได้
...เขายังไม่พร้อม

.

.

.


ทั้งๆที่ถูกห้ามปรามก่อนแล้ว แต่..
...ยิ่งห้าม ก็ยิ่งอยากรู้


อย่าเลยบอมมี่ ชั้นไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย”  ชานฮีหน้าเสียเมื่อถูกรบเร้าให้แอบออกมาเล่นนอกเขตโรงพยาบาล และตอนนี้กำลังจะอยู่ในส่วนที่ไม่สมควรย่างกรายเข้ามา

ทำไมล่ะ น่าตื่นเต้นดี นายไม่อยากรู้เหรอว่าในนั้นมันมีอะไร”  ไม่ว่าเปล่า ข้อมือของชานฮีถูกอีกมือหนึ่งยึดไว้เพื่อให้แน่ใจว่าคนตัวบางจะไม่วิ่งหนี

เด็กผู้ชายสองคนที่กำลังยืนละล่ำละลักอยู่หน้าประตูเหล็กดัดบานใหญ่สนิมเกรอะกรัง คนหนึ่งผลัก คนหนึ่งดึงกลับ ยื้อยุดกันอยู่ซักพัก จนคนตัวบางกว่าต้องถอดใจกับความดื้อดึงของอีกคน

ประตูเหล็กดัดบานใหญ่ถูกแรงเล็กๆช่วยกันดันจนมันแง้มออกพอให้ทั้งสองแทรกตัวเข้าไปได้ ความอึดอัดเหมือนมีอะไรมากดทับที่อกจนแทบหายใจไม่ออกเกิดขึ้นทันที ชานฮีพยายามข่มความกลัวของตัวเอง การเกาะกุมแขนเขาไว้แน่นเป็นการบอกให้ชางบอมเข้าใจ

สัญญาเลย ขอเข้าไปแป้บเดียว แค่รู้ว่ามันมีอะไรแล้วจะออกมาทันที ..แต่ต้องเข้าไปด้วยกัน นะชอนจิ”  เสียงอ้อนวอนสุดท้ายของเด็กชายชางบอมที่เห็นสีหน้าไม่สู้จะดีนักของเพื่อนตัวบาง ความเห็นใจก็มี แต่คงจะน้อยกว่าความอยากรู้อยากเห็น จึงได้แต่พยายามดึงข้อมือนั้นให้เดินตามกันเข้าไป

ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องหรือเสียงลม เงียบสงัดแม้จะยังเป็นเวลากลางวัน ร่องรอยของต้นไม้ใบหญ้าที่แห้งกรอบ บ้างก็ร่วงหล่นพัดปลิวปกคลุมเกะกะขวางทางเดินที่ปูด้วยอิฐก้อนสีน้ำตาลเก่าๆ บ้างก็ลงมาพาดทับป้ายหินอ่อน ที่ถูกวางเรียงรายเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบใต้ร่มไม้



สวนหลังโรงพยาบาล ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นสำหรับเด็ก
จริงๆแล้วมันคือสุสานในสวน หรือจะเรียกว่าสวนที่เป็นสุสานก็คงจะไม่ต่างกัน

.  .  .

ชางบอมเองก็รับรู้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป ป้ายหินอ่อนสีเทาซีดที่ดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากครั้งที่เคยแอบเข้ามาวิ่งเล่น ถูกสีสันสดใสของต้นไม้นานาพันธุ์ที่ดูชุ่มน้ำกลบความหม่นหมองลงไป ทำให้แลดูมีชีวิตชีวา หากมีใครหลงเข้ามาก็คงจะเข้าใจไปว่า เป็นสถานที่ไว้เก็บร่างของบุคคลสำคัญเป็นแน่ แต่จริงๆแล้วแต่ละป้ายหินอ่อนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นชื่อของคนป่วยที่เคยรับการรักษาของโรงพยาบาล บรรยากาศที่สงบร่มรื่น ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่หลับใหลในสุสานแห่งนี้คงจะหลับอย่างเป็นสุข และถ้ามองข้ามป้ายหินอ่อนเหล่านั้นไป ที่แห่งนี้ก็แทบไม่ต่างจากสวนสวยทั่วไปเลย

ชางบอมเดินอุ้มดอกไม้ช่อใหญ่ค่อยๆเดินไล่ดูตามป้ายชื่อ ลมเย็นสบายในเวลาค่อนข้างเช้าแบบนี้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความคิดวนเวียนถึงใบหน้าของหญิงสาวร่างผอมบาง นึกถึงความฝันที่ยังคงเห็นซ้ำไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันอีกทีในที่แบบนี้ ความผิดที่ไม่คิดให้อภัยตัวเอง แม้ชานฮีจะทำเหมือนมองข้ามมันไป แต่แผลในใจทั้งเขาและชานฮีก็ฟ้องว่าเรื่องนี้ไม่ได้จะลืมกันง่ายๆ

ซึ่งก็ต้องทำใจว่า มันอาจจะตามตัวเขาไปจนวันตาย


“...”
ชางบอมสะดุดตากับร่างท้วมของหญิงวัยกลางคน ที่กำลังวางช่อดอกไม้หน้าป้ายหินหนึ่งใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างหน้า แม้จะไม่ได้เจอกันนานนับสิบปี แต่เขาแน่ใจว่า ..จำไม่ผิดคน


“..คุณป้า!..”  

ใบหน้าที่หันกลับมามองก็ยิ่งทำให้แน่ใจ ชางบอมเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาในทันที

ช่อดอกไม้ของหญิงร่างท้วมวางอยู่หน้าป้ายหินอ่อน ป้ายชื่อที่เขากำลังเดินหา ข้อสงสัยมากมายเกิดขึ้นในหัวชางบอม จนหญิงร่างท้วมลอบถอนหายใจ

ป้ามีอะไรจะบอกผมหรือเปล่าครับ..?”


.  .  .


ชานฮีเดินสำรวจรอบๆบริเวณไปเรื่อยเปื่อย ร่มไม้ที่มีมากกว่าเดิม ลมเบาๆในฤดูที่อากาศหนาวเหน็บเมื่อเจอกับแสงแดดอ่อนๆ ไม่ทำร้ายให้ระคายผิวเท่าไหร่ บรรยากาศสบายๆทำให้นึกอยากฟังเพลงขึ้นมา

สายตาที่กำลังมองไกลออกไป ทำให้มือที่หยิบเฮดโฟนเส้นเล็กใส่หูต้องหยุดลง เมื่อเขาเดินมาอยู่ในจุดที่สังเกตเห็นอาคารของโรงพยาบาลได้อย่างชัดเจน อาคารไม้สีขาวแม้จะดูเก่าลงไปบ้าง แต่ทุกอย่างก็แทบจะเหมือนเดิม สายตาไล่มองตั้งแต่อาคารแรกที่เป็นส่วนของผู้ป่วยนอก เรื่อยไปจนหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่งของอาคารด้านใน ส่วนของผู้ป่วยพิเศษ
ที่ซึ่งทุกอย่างสิ้นสุดลง..

.

.

.

เสียงวิ่งกระทืบเท้าค่อยๆห่างออกไป ชางบอมวิ่งจากไปในวันนั้น และคงไม่กลับมาอีก ชานฮีหันกลับมามองแม่ที่กำลังก้มลงเก็บก้อนกระดาษ ภาพวาดที่ถูกขยำทิ้งไว้อยู่ตรงมุมกำแพง

สองมือกุมก้อนกระดาษจนแน่น จังหวะการเดินที่ไม่เร็วไม่ช้าแต่สม่ำเสมอ ผ่านไปเหมือนไม่สังเกตเห็นว่า เขายืนมองการกระทำทุกอย่างอยู่
           
ตั้งแต่วันนั้น รอยยิ้มที่เคยมีให้เขาเสมอก็แทบไม่มีให้เห็น แม่พูดจาน้อยลงมาก เสียงที่เคยหวานหูกลับกลายเป็นเสียงตะโกนโวยวายจนน่าตกใจกลัว บ่อยครั้งที่พยาบาลต้องพาเขาออกไปจากห้อง หรือโทรให้พ่อมารับกะทันหัน


ความทรงจำขาดห้วงไป หลังจากตื่นมาเจอสภาพตัวเองที่นอนพักฟื้นหลังจากป่วยหนัก เขาจำรายละเอียดไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่บ้าง มีแค่สิ่งที่พ่อบอกตอนมาวางช่อดอกไม้หน้าป้ายหินอ่อนของแม่ ไม่มีคำอธิบายมากไปกว่า..

ชานฮีไม่ต้องเสียใจนะลูก แม่จะอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข จะมีต้นไม้ดอกไม้รายล้อมให้แม่ไม่เหงา และถ้าชานฮีคิดถึง เราก็มาหาแม่ได้ตลอดเวลา” 

ชานฮีจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมีน้ำตาให้การจากไปของแม่หรือเปล่า มันเหมือนทุกอย่างจะตกหลุมอากาศ ความทรงจำถูกกลืนหาย และตั้งแต่วันนั้นทั้งเขาและพ่อก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลย

...ทำไมพ่อไม่เคยบอกอะไร แล้วทำไมพ่อมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธทุกครั้งที่จะมาที่นี่ ทั้งที่เคยสัญญาไว้

.

.

.

สีหน้าของชานบอมที่กลับออกมาไม่ต่างจากตอนที่เข้าไปเลย ทั้งที่ควรจะสบายใจขึ้นบ้าง ..แต่ก็ไม่

เมื่อนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้ยืนรออยู่ ชางบอมกวาดสายตามองหาทันที เริ่มร้อนใจ กึ่งวิ่งกึ่งเดินมองหาไปทั่วแบบไม่มีทิศทาง


ชอนจิ!”  
ร่างผอมบางที่นั่งคุดคู้กอดเข่าตัวเอง ทำให้ชางบอมต้องรีบวิ่งเข้าไปหา

ชางบอมคุกเข่าตามลงไปเพื่อที่จะมองหน้าได้ถนัด สองมือยกขึ้นโอบไหล่บางที่ตอนนี้กำลังสั่นไว้
เป็นอะไร? ชอนจิ”   คนถามก็พลอยเสียงสั่นไปด้วย ใบหน้าที่ซีดลงกว่าเดิม ทำให้ยิ่งน่าเป็นกังวล


พ่อไม่เคยมาที่นี่อีก และก็ไม่อยากให้ชั้นมาที่นี่ด้วย”   ชานฮีเงยหน้าสบตา แต่แววตานั้นกลับเลื่อนลอย

ทำไมพ่อไม่บอกอะไรชั้นเลยล่ะชางบอม..”  
ประโยคทิ้งท้ายก่อนที่น้ำตาจะรื้นขึ้นมาคลอเบ้า ชางบอมรีบคว้าคนตัวบางไว้ในอ้อมอก ไม่อยากได้ยินอะไรไปมากกว่านี้ ความสะท้านจนชาวาบแผ่ไปทั้งร่าง

.

.

.


ตั้งแต่รถออกแล่น ทั้งคู่ยังไม่พูดอะไรกันซักคำ ต่างคนเหมือนมีเรื่องให้คิด ชานฮีที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา พยายามเค้นสิ่งที่หายหรือหลงลืมนั้นออกมา ส่วนชางบอมก็เอาแต่ทำคิ้วขมวดมุ่น ขบคิดบางอย่างเช่นกัน

เวลานี้ไม่มีใครหยั่งรู้ความคิดของใครได้


วินาทีที่รู้สึกว่าภายในรถเงียบจนน่าอึดอัด
เปิดเพลงได้มั้ย”   ชานฮีเอ่ยเสียงเบา
เอาสิ..”   เสียงขานรับจากคนหน้าพวงมาลัย หน้ายังคงมองตรงไม่ละจากถนนแม้แต่น้อย ชานฮีจึงยื่นมือกดเปิดเครื่องเสียงในรถทันที


เมื่อมีเสียงเพลงช่วยทำลายความเงียบ ชานฮีจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเผลอถอนหายใจลูกใหญ่ จนชางบอมต้องหันไปสังเกตใบหน้าอีกคนอย่างเป็นห่วง หน้าเรียวเล็กที่หันมองออกนอกรถ ช่างนิ่งสงบ ..เกินไป


ชอนจิ..

“..ไปดื่มกันหน่อยมั้ย”  

ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฎิเสธ ใบหน้านั้นที่ยังคงมองเบี่ยงออกไปนอกรถ ท่าทางหม่นเศร้ามันช่างน้อยนักถ้าเทียบกับสิ่งที่อยู่ในใจ ร่างกายบอบบางที่ต้องแบกรับความรู้สึกไว้มากมายนั้น


...ถ้าวันหนึ่ง นายตื่นมาเจอฝันร้ายที่ลืมมันไป นายจะเป็นยังไง ..ชั้นทำอะไรให้นายได้บ้างมั้ย ชอนจิ


ชางบอมถอนหายใจหนักอีกครั้ง ก่อนบังคับรถให้แล่นไปข้างหน้า

.

.

.


เครื่องดื่มสีเหลืองทองพร้อมประกายฟองฟู่สีขาวที่ลอยอยู่ด้านบนถูกรินลงแก้วทรงเหยือกขนาดกลาง พร้อมยกมาเสิร์ฟตรงหน้าของชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส เรื่องราวเก่าๆเท่าที่จะพอนึกได้ ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดคุยกัน ตั้งแต่เรื่องความเลือดร้อนตามประสาคนเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ที่ไม่มีใครห้ามใคร ไปจนถึงวีรกรรมสุดทะเล้นทะลึ่งที่บางครั้งต้องแอบกระซิบกระซาบกัน

เพียงไม่นาน แก้วเบียร์ที่ถูกสลับเปลี่ยนไปแก้วแล้วแก้วเล่า ปริมาณของดีกรีที่สะสมลงไปในร่างกายทำให้ทั้งคู่เริ่มจะเครื่องร้อน จากคำพูดหยอกเย้าก็เริ่มเสียงแข็ง เสียงพูดคุยที่เพียงแข่งกับเสียงในคลับ ตอนนี้มันเริ่มดังขึ้นเหมือนกับจะข่มเสียงคู่สนทนา



ปึง!   

แก้วเบียร์ถูกวางกระแทกลงโต๊ะ

อะราย ยายนั่นน่ะชั้นจีบก่อนเว้ย.. แกนั่นแหละ มากินของเหลือ!   
เฮ้ยๆๆ ก็บอกแล้วงาย.. ชั้นไม่ได้ทำไร เค้ามาหาชั้นเอง ช่วยไม่ด้าย..”   
หืมมมม หล่อมากใช่มั้ยแกน่ะ!!”   ไม่ว่าเปล่าคนตัวโตกว่าลุกขึ้นจากเก้าอี้กระชากคอเสื้ออีกคน จนตัวลอยขึ้นตามแรง
บอกกี่ครั้งแล้วไอ้แอลโจ ว่าของของชั้น ถ้าชั้นไม่ให้ ใครก็ ไม่..มี..สิทธิ์..!!   น้ำเสียงตอกย้ำ มือยังคงกระตุกคอเสื้อไม่ปล่อย จนอีกคนตัวโอนเอนไปมา
ชั้นก็บอกแกไม่รู้กี่ครั้งว่า เลิก..เรียก..แอล..โจ..ซะที! หูแตกเหรอไง!!   มือทั้งสองข้างของคนที่ตัวโยนก็ไม่ปล่อยให้ว่าง ยกขึ้นบิดใบหูคนตรงหน้าเป็นการตอบโต้
โอ๊ยยย!! ไอ้แอลโจ ชั้นเจ็บโว้ย..!!”   เสียงร้องยิ่งดังบยองฮอนก็ยิ่งได้ใจ
ถ้ายังไม่ปล่อยมือ ชั้นจะบิดให้หูขาด!!
ภาพขี้เมาสองคนที่ยื้อยุดกับอยู่ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนในร้านเลย
นอกจาก..


หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้ ชางบอมหยุด! บยองฮอนหยุด!”   ร่างผอมบางที่พยายามเอาตัวเข้าแทรกผู้ชายสองคนที่กำลังแทบจะเรียกว่า ..กัดกัน


และทั้งคู่คงจะ..กัดกันอีกนาน
ถ้าไม่ใช่เพราะ..


ชานฮี! / ชอนจิ! 
สองชื่อถูกเรียกชนกันกลางอากาศ ก่อนจะหันขวับมาจ้องหน้ากันอย่างงุนงง

ไม่ใช่แค่กับทั้งบยองฮอนและชางบอม แต่รวมถึงบุคคลที่สามที่กำลังเอาตัวเข้าขวางด้วย

นี่รู้จักกันเหรอ?”  
สาบานได้ว่าไม่ได้นัดกันพูด ประโยคเดียวกันที่บังเอิญหลุดจากปากของทั้งสามคน ต่างคนต่างหันมองหน้าสลับกันไปมา ทั้งคนเมาและคนไม่เมา ที่ตอนนี้มึนงงพอๆกัน

. . .


ไม่เคยรู้ว่าคุณเคยอยู่เมืองนอก”   ชานฮีเอ่ยขึ้นเบาๆ สายตาเหล่มองไปหาอีกคน หลังจากฟังเรื่องจากชางบอม
ช่าย.. รู้จักกันที่อเมริกา.. แล้วเมื่อกี้ก็แค่แหย่กันเล่น.. ฮ่าๆๆ”   ชางบอมทวนคำ เผลอหัวเราะอย่างชอบใจ ไม่ได้สังเกตอารมณ์ของชานฮีเลย
เล่นบ้าอะไร! นี่เกือบจะล้มโต๊ะแล้วนะ!”  ชานฮีหันมาแหวใส่คนข้างๆ
นั่นล่ะ ชางบอมถึงได้สติขึ้นบ้าง
น่านะชอนจิอ่า.. เวลาดื่มมันเคยตัวน่ะ แต่ก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกันจริงจังหรอกนา สบายใจด้ายยย..”  ตอนนี้ชางบอมเหมือนคนไร้กระดูก ตัวโอนเอนพิงกายกับร่างบาง ทำเสียงออดอ้อน จนชานฮีต้องถอนหายใจกับเพื่อนตัวดี ที่เวลานี้สติลดลงเมื่อฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น

ไม่ต่างกับอีกคนที่เอาแต่นั่งตาปรือ มองคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ

นายเถอะ ไหนบอกทีแรกว่าไม่มาไง ชั้นเลยต้องลากหมอนี่ออกมาแทน”   ชางบอมผงกหัวขึ้นจากบ่าชานฮี เอียงคอถามอย่างสงสัย

ก็..ไม่รู้สิ พอกลับไปอยู่เฉยๆ เหมือนมันจะฟุ้งซ่าน”   ชานฮีอธิบายสั้นๆแบบขอไปที

ตากลมโตที่เหลือบไปสบกับตาเรียวเล็กเป็นระยะๆ ..จนชางบอมสังเกตเห็น
โลกกลมดีนะ.. แล้วนายสองคนล่ะ สนิทกันได้ยังไง”   พูดจบชางบอมก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอักๆ ก่อนที่จะโดนมือของชานฮีปรามไว้

ลูกค้าที่ร้านน่ะ! เคยเจอกันไม่กี่ครั้งเอง..”    
ชานฮีรีบพูดขึ้นก่อน เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะเปิดปาก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆก็นึกกลัวคำตอบจากบยองฮอนขึ้นมา คงเพราะตั้งแต่นั่งคุยกัน ยังไม่เห็นปฏิกิริยาอะไร นอกจากการมองกลับมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย

แต่นั่นกลับทำให้คนที่อ้าปากค้างถึงกับหน้าชาวาบทันที ตาเรียวเล็กที่จ้องเขม็งแทนคำถาม ก่อนจะต้องถอนหายใจอย่างแรง กับการหลบเลี่ยงจากตากลมโตคู่เดิม

ใช่! ชั้นมันแค่ลูกค้า!”   บยองฮอนพูดกระแทกเสียง และยังคงจ้องหน้าคนที่เอาแต่หลบตา ก่อนหันไปส่งสัญญาณกับพนักงานคลับให้มาเปลี่ยนแก้วเบียร์

คุณจะดื่มอะไร..?”  
ประโยคแรกที่บยองฮอนพูดกับเขา ท่าทางดูไม่ไยดีเอาซะเลย
อ้อ คุณนี่เอง..!”   เสียงจากพนักงานเสิร์ฟที่เข้ามารับออร์เดอร์ พนักงานคนนี้จำเขาได้
ชานฮีเพียงแค่โน้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการทักทาย

ก็คุณคนนี้ มาถามหานายเมื่อวันก่อนไง วันที่นายรอจนดึกนั่นแหละ”   คนพูดหันไปอธิบายบยองฮอน

เอ่อ..! ผมขอเบียร์ด้วยละกันครับ”   ชานฮีรีบพูดเพื่อเป็นการตัดบท

ทั้งชานฮีและบยองฮอนถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อนึกถึงคืนนั้น สายตาบังเอิญสบกันอีกครั้ง เมื่อแก้วที่ว่างเปล่าถูกยกออกไปแทนที่ด้วยใบใหม่พร้อมเครื่องดื่มเต็มแก้ว ต่างคนก็หันไปยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อนอาการบางอย่าง

ชางบอมที่สังเกตอาการของทั้งคู่ อยู่ๆก็เกิดอาการสงสัยขึ้นกว่าเดิม

นายสองคน มีอะไรที่ชั้นไม่รู้รึเปล่า”   



พลั๊ว!!

บยองฮอนถึงกับสำลัก ปกติก็เป็นคนตรงๆอยู่แล้ว ยิ่งกรึ่มๆด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปอีก ยิ่งทำให้ชางบอมพูดแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังกันเลย

เค้าว่าไง ชั้นก็ต้องว่างั้นแหละ”   ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไม่ต่างจากเพื่อนตัวเอง คำพูดจึงหลุดปากออกไปแบบยั้งไม่อยู่เช่นกัน


...ไม่น่าเจอกันสภาพแบบนี้เลย


คำประชดประชันที่ขาดสติยับยั้ง ยิ่งทำให้อะไรๆมันแย่ลง

ชั้นกลับก่อนนะชางบอม นึกได้ว่าพรุ่งนี้มีเรียนเช้า
พูดออกไปทั้งๆที่ก็รู้ว่าคงไม่มีใครเชื่อ แต่มันอึดอัดเกินกว่าจะอยู่ต่อ คำพูดที่ต่างคนก็พลั้งปากออกไป มันเรียกคืนไม่ได้

ชานฮียกเบียร์ที่เหลือขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ลุกขึ้นหยิบเสื้อโค๊ทและกระเป๋า ตากลมโตเหล่มองตาเรียวอย่างขุ่นเคืองอีกครั้ง ก่อนเดินดุ่ยๆออกไปแบบไม่ร่ำลาต่อ ทิ้งขี้เมาสองคนที่กำลังรับรู้ถึงบรรยากาศที่อึมครึม

ก็เอาแต่นั่งเงียบอย่างนั้น ใครจะไปกล้าพูด เกิดถ้าชั้นคิดเองเออเองคนเดียวล่ะ บยองฮอน นายนี่มันกวนประสาทได้ตลอดเวลาสินะ!
ทันทีที่หันหลังจากสองคนนั้น ชานฮีก็เดินบ่นระบายอารมณ์กับตัวเองไปตลอดทาง


เพราะท่าทางและความสนิทสนมของทั้งคู่ ทำให้เขาเหมือนเป็นคนอื่นในทันที เมื่อเทียบกับชางบอม เขาแทบจะไม่รู้จักชานฮีเลย จากที่เคยคิดว่ามีสิทธิ์จะเป็นเจ้าของเสียงหวานนั้น แต่ด้วยคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากบาง ทำให้เขาสับสน เกิดความไม่มั่นใจในสถานะของตัวเอง ว่าควรยืนอยู่จุดไหน
หรือเขาแค่คิดไปเองคนเดียว..


...แล้วจะปล่อยให้ตัวปัญหาเดินหนีไปเฉยๆแบบนี้น่ะเหรอบยองฮอน


เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง ไวเท่าใจคิด บยองฮอนลุกขึ้นหยิบสัมภาระ พับธนบัตรถูกสอดไว้ใต้แก้วของชางบอม มือเรียวตบบ่าเพื่อนเบาๆก่อนจะเดินออกไป


..?!..
บยองฮอนหันกลับไปมองข้อมือที่ถูกแรงรั้งเอาไว้

คุยอะไรกันหน่อยสิ”   ชางบอมพูดหน้านิ่ง มือยังคงตรึงข้อมือเรียวนั่นไว้
ตอนนี้อ่ะนะ!”   บยองฮอนพูดพลาง ตาก็มองตามหลังชานฮีที่เดินหายไปแล้ว หันกลับมาเจอชางบอมแบบไม่สบอารมณ์นัก

ขอให้สำคัญเถอะนะ ไม่งั้นชั้นชกนายแน่!”  บยองฮอนพูดอย่างหัวเสีย ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เดิม

ชางบอมที่ตอนนี้เหมือนมีสติกลับมาบ้าง หน้าตานิ่งเฉยจ้องเข้าไปในตาเรียวเล็กนั้น

ไม่ว่านายสองคนจะรู้กันในฐานะไหน



“..ชั้นขอให้หยุดมันซะ!  

ชางบอมยังคงจ้องค้างเข้าไปในตาคู่เดิม ชั่วอึดใจก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหน้าบาร์ควักธนบัตรจ่ายค่าเครื่องดื่ม แล้วเดินออกจากคลับไป


.


.


.


บยองฮอนปลดเสื้อโค้ทและกระเป๋าสะพายลงบนเก้าอี้ตัวเดิม วันนี้แค่ออกมาดื่มไม่จำเป็นต้องแบกสัมภาระมากมาย ห้องชมรมยังเป็นที่พึ่งที่ดีในเวลาแบบนี้ ถึงจะยังไม่ดึกเกินไปที่จะนั่งรถไฟกลับ

แต่สมองมันล้า เกินกว่าจะหอบหิ้วสังขารให้ถึงบ้าน

จิตใจที่ขุ่นมัวและสภาพมึนตึงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้อยากทรุดตัวลงนอน ร่างกายแผ่ขนานกับพื้นห้อง ตาเรียวพยายามลืมขึ้นมองสู้แสงจากหลอดนิออนบนเพดาน

หวังจะให้แสงสว่างเรียกสติขึ้นมาได้บ้าง

สุดท้ายต้องยอมแพ้..

ยอมเบี่ยงหน้าหนี ยกมือขึ้นบดบัง แสงที่ยังเล็ดลอดผ่านนิ้วมือเข้ามากระทบเปลือกตา เขานอนมองมือคู่นี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกระเด้งตัวลุกนั่ง

บยองฮอนหยิบซองกระดาษสีขาวสะอาดตาขนาดA4ออกมาจากกระเป๋าสะพาย ซองเอกสารที่ยังคงปิดผนึกอย่างดี มือเรียวค่อยๆฉีกมันออกอย่างระวัง แผ่นกระดาษสีขาว2แผ่นที่เรียงซ้อนกันถูกหยิบออกมา หัวกระดาษแต่ละแผ่นมีตัวอักษรพิมพ์ชื่อแหล่งที่มาของเอกสารนั้น


University of London Music & Arts


อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์สีดำเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนพื้นขาวสนิท บยองฮอนไล่อ่านไปทีละบรรทัด เกือบทั้งหมดเป็นแค่ข้อความอารัมภบท ใจความสำคัญมีแค่บทลงท้ายเพียงไม่กี่ประโยค


เพราะฉะนั้น ขอแจ้งให้ทราบว่า ทางมหาวิทยาลัยมีความยินดีรับ คุณอีบยองฮอน เข้าเป็นนักศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษาหน้าเป็นต้นไป


สถาบันที่มีชื่อเสียงด้านศิลปะการดนตรีที่ใฝ่ฝัน ไม่ใช่ใครจะเข้าเรียนกันได้ง่ายๆ เคยคิดที่จะอยากมีชีวิตเป็นส่วนตัว การใช้ชีวิตนักศึกษาทั่วไปมันดูธรรมดาและน่าเบื่อเกินไปสำหรับเขา หากยังอยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเอง

ถ้าเป็นก่อนหน้า เขาคงดีใจ ..กว่านี้


เฮ้อออ...
บยองฮอนถอนหายใจยาว ทิ้งตัวลงพื้นอีกครั้ง

หลายอย่างเปลี่ยนไป เมื่อชีวิตเขาเริ่มมีอะไรน่าสนใจมากขึ้น มีความสุขกับการตื่นขึ้นมาแล้วได้คิดถึง หัวใจพองโตทุกครั้งเมื่อนึกถึงสัมผัสที่ยังคงโหยหา ความรู้สึกแบบนี้ ..เขาเริ่มเสพติด

สาเหตุมีแค่อย่างเดียว เพราะคนคนเดียว


สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ เรื่องราวกวนใจที่คอยปั่นหัว ต้องหาทางระบาย


.  .  .



เคร้ง..

เสียงกระป๋องเครื่องดื่มร่วงลงสู่ด้านล่าง บยองฮอนก้มลงหยิบมันขึ้นมาเปิดดื่มอึกใหญ่ทันที ก่อนที่จะทำอะไรต่อ เขาต้องเรียกสติคืนมาเสียก่อน รสชาติของโซดาหวานเย็นช่วยเรียกความสดชื่นกลับมาได้บ้าง เครื่องดื่มรสซ่าถูกกดเพิ่มมาอีกกระป๋อง ตั้งใจเก็บไว้ดื่มแก้คอแห้ง แล้วสองขาเรียวก็เดินกลับขึ้นตึกไป

ตู้เก็บอุปกรณ์ดนตรีถูกเปิด บยองฮอนหยิบดินสอและกระดาษโน้ตเพลงแผ่นใหม่ออกมาจากช่องเก็บ กีตาร์โปร่งตัวเล็กถูกหยิบขึ้นมาใช้งานแก้ขัด สองขาเดินไปนั่งตรงที่ประจำของตัวเอง แปะกระดาษโน้ตลงบนแป้นและหนีบมันไว้ นิ้วเรียวค่อยดีดทดสอบเสียงก่อนปรับแต่งให้เป็นไปตามโน้ตที่ถูกต้อง บยองฮอนยกกระป๋องโซดาขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ หายใจเข้าลึกๆ

เสียงเบาๆดังขึ้นสลับกัน เมื่อนิ้วเรียวเกี่ยวสายมันอีกครั้ง ค่อยๆไล่เรียงมันไปเท่าที่สมองจะคิดได้

เมื่อความรู้สึกมากมายสั่งให้สมองอยากขีดเขียน ปลดปล่อยเป็นโน้ตเพลง เวลาและอารมณ์แบบนี้เหมาะที่สุดที่จะถ่ายทอดมันออกมา ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะรู้สึกลื่นไหลแบบนี้ เขากำลังเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นให้กลายเป็นบทเพลง วัตถุดิบคือสภาพจิตใจที่อยากหาทางออก อยู่ที่เขาจะหยิบจับเอามาปรุงแต่งให้เป็นแบบไหน




ชั้นขอให้หยุดมันซะ!


...ทำไมจะต้องฟังใคร ชั้นอยากเชื่อใจตัวเองมากกว่า





-TBC-



Every time I see you falling
I get down on my knees and pray
I'm waiting for that final moment
You say the words that I can't say

เวลาที่ฉันเห็นเธอตกที่นั่งลำบาก ...  
ฉันจะคุกเข่าลงและอธิษฐาน  
และรอจนถึงนาทีสุดท้าย
ที่เธอจะพูดคำๆนั้น ที่ฉัน..พูดไม่ได้ ...


>>> Frente! - Bizarre Love Triangle





คุยๆ กระดึ๊บไปอีกนิดกับพาร์ทนี้ ยังหนีไม่พ้นตัวละครหลัก3คนนี้นะ สุดท้ายก็ได้เจอกันซะดี แต่มันดูป่วนๆไงก็ไม่รู้ ลุ้นต่อไปละกัน




ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ^-^





1 comments:

  1. แอบรู้สึกว่าความทรงจำส่วนที่มันหายไปของชานฮีในวัยเด็กมันคงทำให้เจ้าตัวต้องรู้สึกเจ็บปวดหรือกระทบกระเทือนทางจิตใจมากๆแน่ๆอ่ะ ชานฮีกับแม่มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

    รถไฟชนกันดังตู้มเลย แต่ในความกระอักกระอ่วนนั้นมันมีความฟินซ่อนอยู่ ต่างคนต่างไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่แต่ในใจทั้งคู่มันแบบแอบมีเขาอยู่ในใจไปแล้ว โอ๊ยยย 😆😆😆

    ReplyDelete