In Deep


  

เมื่อจ้องมองเหล่านกที่กำลังบินขึ้นไป
ฉันเองก็อยากจะบินตามไปด้วย
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามนี้
ฉันก็อยากตามไปอย่างอิสระด้วยเช่นกัน




















เกือบจะทุกวันที่ไม่มีเรียนหรือเป็นวันหยุด ชานฮีจะอาสามาเปิดร้านในตอนเช้า เขาจะมาถึงร้านราว8โมง เพื่อที่จะได้มีเวลานั่งฟังเพลงใหม่ๆก่อนเริ่มงาน

ความสุขของการทำงานร้านซีดี อะไรจะดีไปกว่าการที่มีเพลงให้ฟังไม่สิ้นสุด เขาสนุกกับการเสาะหาและเรียนรู้แนวเพลงใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไป อาจจะชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็ไม่ได้เสียหายอะไร แถมมันยังเป็นผลดีกับงานเขาด้วย ถึงจะเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่การที่เขาสามารถพูดคุยกับลูกค้าในแนวเพลงที่หลากหลาย ก็ถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง

ไม่ใช่แค่ขายของได้หรอกนะ ผมต้องการคนที่รักในสิ่งที่ทำ ลูกค้าที่เข้ามาในร้านจะต้องรู้สึกดีแม้ไม่มีอะไรติดมือออกไป ร้านเราไม่เหมือนร้านอื่นๆ ถ้าแค่จะมายืนฟังเพลง หยิบซีดีให้ลูกค้าล่ะก็ ผมไม่ต้องเปลืองเงินจ้างใครหรอก เข้าใจนะ

ชานฮีหลุดขำออกมา เมื่อนึกถึงวันแรกที่เจอกับแอนดี้ ยังจำได้ดี เขาเห็นป้ายรับสมัครพนักงาน ทั้งๆที่ในร้านยังทาสีไม่เสร็จด้วยซ้ำ แต่ด้วยความน่าสนใจของงานทำให้เขาไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าใส่


..ร้านซีดีเหรอ น่าสนุกนะ  


ไม่ต้องเก่งหรือรู้ทั้งหมด ทุกอย่างมันพัฒนากันได้ แค่ไม่ปิดกั้นตัวเอง คนเราจะทำอะไรได้ดี เมื่อมีความรักและใส่ใจในสิ่งนั้น

เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากแอนดี้ เขาอาจจะมีสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัวก็ได้


คงเป็นความโชคดีของชานฮีที่โตมากับเสียงเพลง เพลงของแม่ที่ได้ยินมาตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ทุกๆที่ ที่แม่สามารถร้องเพลงได้ ในครัว ห้องน้ำ ห้องนอน สถานีรถไฟ หรือแม้แต่ริมฟุตบาท แม่มักจะจูงมือเขาเดินร้องเพลงไปด้วยกัน เขาไม่เคยเบื่อ กลับเป็นสิ่งเสพติดด้วยซ้ำ เขาชอบที่จะฟังมัน 

..เสียงเพลงของแม่

เสียงเพลง..มันเป็นส่วนหนึ่งของแม่และถ่ายทอดมาสู่เขาโดยไม่รู้ตัว



จนกระทั้งเสียงเพลงนั้นเริ่มหายไป มันเริ่มจากวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้ยินเสียงเพลงแบบทุกเช้า นานเข้าทั้งเสียงเพลงในครัว ห้องน้ำ ห้องนอน สถานีรถไฟ หรือริมฟุตบาทก็ค่อยๆหายไป ชานฮีค่อยๆรู้สึกถึงบางสิ่งที่เว้าแหว่งมากขึ้น ..มากขึ้น

จากมายมาย..

..กลายเป็นไม่มี


บางอย่างมันขาดหายไป หัวใจที่เคยเต็มตื้น กลับกลวงโบ๋ ว่างเปล่า และเบาหวิว แม้จะยังเต้นตามจังหวะ แต่กลับเย็นชา เหมือนเครื่องจักรที่ยังคงทำงานแต่ไร้ความรู้สึกใดๆ

ใช่ว่าเขาจะยอมรับมันง่ายๆ ความเงียบคือสิ่งที่น่ากลัว ความเวิ้งว้างคือสิ่งที่เขาไม่ปรารถนา คล้ายกับลมหนาว ..ที่เบาบางแต่บาดผิวลงลึก

และเพื่อจะสามารถเก็บกักความทรงจำดีๆบางอย่างที่แสนจะน้อยนิดไว้ ทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นได้บ้าง เขาจึงเริ่มไขว่ขว้ามันเอง ชานฮีเรียนรู้ที่จะอยู่กับเสียงเพลงอีกครั้ง แม้มันจะเปลี่ยนรูปแบบไป กลายเป็นเสียงเพลงที่มาจากแผ่นพลาสติกกลมๆบางๆผ่านอุปกรณ์ที่ทำให้มันเหมือนมีชีวิต แทนที่เสียงนุ่มรื่นหูโดยปราศจากดนตรีแบบเมื่อก่อน ..ซึ่งก็ยังดี

แต่ในบางครั้ง เมื่อเสียงที่คุ้นเคยผ่านเข้ามาในความคิดแบบไม่ตั้งใจ ทุกๆครั้งจะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแขวนอยู่ปากอุโมงค์ใหญ่ ทั้งกว้างและลึกจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ความหวาดกลัวแล่นเข้าสู่ปลายนิ้วมือและเท้าตรงเข้าสู่หัวใจ

ถ้าเสียงของแม่ เพลงของแม่ คือความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ทุกวันนี้เขาก็เหมือนอยู่บนความหวาดกลัว เหมือนหัวใจมันถูกบีบอัด ไม่รู้ว่าจะพลาดตกลงไปในอุโมงค์นั้นเมื่อไหร่
ชานฮีถูกความโหยหาเกาะกินทำร้าย หลายครั้งที่พบว่าตัวเองสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมอาการหายใจหอบ เหงื่อซึมออกมารวดเร็ว ร่างกายเย็นวาบไปทั้งตัว น้ำตาที่ร่วงลงข้างแก้มกับบางส่วนยังคงเอ่ออยู่ขอบตา


ฝันร้ายที่เขาไม่เคยหยุดมันได้เลย



ผมมาแล้ววววว” 
เสียงใครบางคนดึงเขากลับมา จากความรู้สึกเย็นวาบนั้น..อีกครั้ง


พี่ชานฮี เป็นอะไรมั้ย”  เสียงรุ่นน้องเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล ใบหน้าที่เห็นซีดเผือด ปากไร้สีระเรื่อ แววตาเหม่อลอย เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นตามหน้าผากและไรผม

วินาทีที่กำลังงุนงง ชานฮีไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สองขาพาตัวเองเดินเข้าห้องน้ำเหมือนถูกตั้งโปรแกรม



ซู่วววว..

เขาวักน้ำจากก๊อกที่เปิดสุดความแรง สาดเข้าหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อจะเรียกสติกลับมา


...เมื่อกี้มันอะไร เราเป็นอะไร ?


เขาตั้งคำถามกับเงาสะท้อนในกระจก


เด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนชะเง้ออย่างเป็นกังวล รีบเดินเข้าไปหาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดอีกครั้ง
โทษทีนะ ที่ทำให้ตกใจ สงสัยเมื่อคืนจะนอนดึกไปหน่อย” 
ชานฮีทำได้แค่ฝืนยิ้มให้รุ่นน้อง พนักงานอีกคนของร้าน
เมื่อกี้ผมตกใจมาก เหมือนไม่ใช่พี่เลย”  เด็กหนุ่มพูดอย่างร้อนใจ
ชานฮีไม่ได้ตอบอะไร ทำทีเป็นสาละวนอยู่กับการจัดข้าวของเพื่อเตรียมจะเปิดร้าน   
ถ้าวันไหนมาเช้าไม่ไหว โทรบอกผมได้นี่ฮะ ห้องผมอยู่แถวนี้เอง ยังไงผมมาช่วยเปิดร้านให้ก่อนก็ได้ พี่แอนดี้ไม่ว่าอยู่แล้ว”  
เสียงนั้นยังไล่หลัง ไม่ว่าชานฮีจะทำอะไร แววตายังไม่คลายความกังวล

ชานฮียกยิ้มให้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ยังใจดีเหมือนเดิมนะจงฮยอน”   เขาเดินเข้าไปลูบหัวทุยๆนั้นอย่างเอ็นดู
แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ พี่ชานฮีต่างหากที่ใจดีกับผม”  

จงฮยอน รุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกัน เด็กคนนี้มาขอให้เขาช่วยฝากงานที่ร้านซีดี ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ให้เหตุผลแค่ว่าชอบฟังเพลง ชอบบรรยากาศในร้านที่ไม่เหมือนร้านอื่นๆทั่วไป และก็จะได้มีเงินค่าขนม ซึ่งเขาก็ไม่ได้รับคำในครั้งแรก แต่ด้วยลูกตื้อและสายตาของจงฮยอนสุดท้ายก็ยอมใจอ่อน

ชานฮีชอบสายตาของเด็กคนนี้ สายตาที่ไม่ยอมแพ้

บอกกี่ครั้งแล้วว่าชั้นแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้านายไม่มีกึ๋น พี่แอนดี้ก็คงไม่รับเหมือนกัน นั่นเพราะตัวนายเองนะ” 
จงฮยอนเป็นเด็กสดใส มีมุมตลกเฮฮา ทำให้คนอยู่ใกล้อดที่จะเอ็นดูไม่ได้ หลายๆครั้งเขาก็ได้พลังบางอย่างจากจงฮยอน ความกระตือรือร้นในสิ่งที่ทำมันแผ่ความสุขอยู่รอบๆตัวจนส่งมาถึงเขา รู้สึกดีกับตัวเองที่ให้โอกาสเด็กคนนี้

ไม่น่าเชื่อนะครับ วันที่พี่พาผมมาที่นี่ ผมกลัวพี่แอนดี้แทบแย่ ทั้งดุทั้งขู่ กลัวผมจะไม่ตั้งใจทำงานจริง ที่ไหนได้พอรับแล้วนะ กลายเป็นอีกคนเลย ไม่ยักกะจู้จี้จุกจิก
นั่นก็เพราะนายมีความรับผิดชอบ พี่เค้าถึงวางใจ”   พูดจบก็หันไปสนใจกับการเปิดร้านอีกครั้ง
แต่ไง ผมก็สู้พี่ไม่ได้หรอก ...เฮ้อออ ถ้าผมมีสิทธิ์ได้ทำอะไรที่ชอบเต็มร้อยแบบพี่ก็คงจะดี” 

หลายครั้งที่ชานฮีสังเกตได้ว่า มีบางเรื่องที่กวนใจจงฮยอนอยู่ ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นอาการเศร้าซึมของน้องชายคนนี้ หรือเพราะจงฮยอนอาจจะไม่แสดงออก และถึงแม้ชานฮีจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เคยถาม ไม่มีใครในโลกที่อยู่โดยไม่มีเรื่องทุกข์ เพียงแต่จะมากจะน้อยเท่านั้น ถ้าจงฮยอนอยากเล่าเขาก็พร้อมรับฟัง

เช้านี้ฟังเพลงอะไรดี”  ชานฮีตัดบท เมื่อสายตานั้นหม่นลง
ของNe-Yoมั้ยพี่ ผมเพิ่งเปิดเอ็มวีดูเมื่อคืน หัดเต้นมาด้วย เพลงนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งเพราะ”   
จงฮยอนดูสดใส ตามีประกายขึ้นมาทันที
ก็เอาสิ วันนี้พี่แล้วแต่นาย” 
ชานฮีบุ้ยหน้าไปทางเครื่องเล่นซีดีที่ต่อเข้ากับลำโพงที่กระจายอยู่รอบร้าน มันมีไว้สำหรับเปิดเพลงคลอสร้างบรรยากาศให้ลูกค้าที่เข้ามา จงฮยอนรีบคว้าเครื่องเล่นmp3ในกระเป๋ากางเกง เดินไปหลังเคาท์เตอร์ทันที ดึงสายต่อลำโพงออกจากตัวเครื่องแล้วต่อเข้ากับหัวต่ออีกตัว เพื่อที่จะเสียบเข้ากับเครื่องเล่นในมือ นิ้ววนหาเพลงที่ต้องการ

PLAY!”  จงฮยอนส่งเสียงดังเหมือนเด็กน้อยที่กำลังถูกใจ
ทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น จงฮยอนก็เริ่ม.. เต้น!


ในเวลาแบบนี้ ชานฮีและจงฮยอนรู้กันว่าคือเวลาของพวกเขา ร้านที่ยังไม่มีลูกค้า เสียงเพลงโปรดที่ดังมาจากลำโพงรอบทิศ ประสาทการรับฟังถูกโอบล้อม ร้านที่ออกแบบมาให้เก็บเสียงจะได้ยินก็แค่คนข้างในเท่านั้น พวกเขาสามารถปลดปล่อยตัวเองได้เต็มที่ สร้างโลกเล็กๆที่ให้ความรู้สึกวิเศษ เป็นการเติมไฟก่อนจะเริ่มการทำงาน

อีกสิ่งที่ชานฮีรู้เกี่ยวกับรุ่นน้องคนนี้ก็คือ จงฮยอนเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการเต้น ไม่ใช่แค่การบังคับแขนขาให้เป็นไปตามจังหวะ แต่เหมือนใช้ความรู้สึกควบคุมการเคลื่อนไหว แค่มองดูก็ราวกับเขาได้ขยับร่างกายตามไปด้วย ใบหน้าที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้เต้น มากกว่ารอยยิ้ม มันชัดเจนออกมาทางสายตา


แต่เหมือนมีบางอย่างที่ทำให้จงฮยอนทำได้แค่ชอบ..


อ๊ะ!”  กำลังคิดเพลินๆ ก็ถูกจงฮยอนฉุดแขนให้ขยับตาม
เพลงนี้มันต้องเต้นเป็นคู่ ยืมตัวหน่อยนะพี่”  พูดจบก็ฉีกยิ้มจนตาย่น พาร่างชานฮีไปทางโน้นที่ ทางนี้ที แต่ดูยังไงก็เหมือนจะเป็นจงฮยอนคนเดียวที่เต้น ส่วนอีกคนก็โซซัดโซเซไปตามแรง


มีแต่เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังแทรกเสียงเพลงเข้ามา

.

.

.

เป็นไง ชอบมั้ยลูก”  เสียงหวานทุ้มจากหญิงวัย40ต้นๆ เอ่ยถาม
อืม.. ผมแล้วแต่แม่ฮะ ถ้าแม่ชอบผมก็โอเค”  ปากบาง อ้าปากหาว ก่อนจะส่งยิ้มบางๆกลับไปให้คนเป็นแม่
หืม นี่จะบ่ายแล้ว ยังไม่หายงัวเงียอีกเหรอ แล้วจะขับกลับไหวเหรอเนี่ยะ..”  คำพูดแซวลูกชาย ที่วันนี้ยอมตื่นเช้าอาสาขับรถพามานอกเมือง
สบายครับ แค่ตื่นผิดเวลาไปหน่อย”   ตอบไปยังไม่ทันไร ก็หาวหวอดใหญ่อีกครั้ง
คนเป็นแม่มองด้วยความเอ็นดู มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบปอยผมที่ตกลงปิดหน้าลูกชาย
ลูกอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย แอลโจ”   ชื่อลงท้ายคนเป็นแม่จงใจเรียก หวังกระตุ้นคนหน้าง่วงให้ตื่นตัวขึ้นบ้าง
แม่.. เอาอีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกล้อผมเนี่ยะ”   เสียงหัวเราะจากคนเป็นแม่ดังขึ้นทันที

แอลโจเป็นคำที่เพื่อนๆเรียกเขาสมัยอยู่อเมริกา ชื่อบยองฮอนคงจะยากเกินไปสำหรับลิ้นฝรั่ง แต่หลังจากกลับมาใช้ชีวิตที่เกาหลีเขาก็ไม่ได้เอาชื่อนั้นกลับมาด้วย ตอนนั้นเขาอาจจะโอเคกับชื่อที่ว่าก็จริง มันฟังดูกลมกลืนกับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ที่นี่


บยองฮอน คือตัวตนจริงๆของเขา


หายง่วงขึ้นมาบ้างมั้ย..”  มือที่เกลี่ยปอยผมเมื่อครู่ เปลี่ยนมายีช่อผมด้านหน้าจนยุ่งเหยิงกว่าเดิมเสียอีก
และเมื่อมือนั้นละไป บยองฮอนยกนิ้วขึ้นเสย จัดทรงให้เข้าที่ดังเดิม จนคนที่เหล่มองอยู่อดยิ้มไม่ได้

มาอยู่ด้วยกันที่นี่ไม่ดีเหรอลูก จะกินจะอยู่ยังไง เราน่ะเคยอยู่คนเดียวซะที่ไหน
คนเป็นแม่รบเร้าด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่เล็กไม่เคยห่างกันซะที่ไหน แต่กลับกัน บยองฮอนคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ดูแลตัวเองซะที เมื่อก่อนเขาเคยเป็นเด็กขี้แย เพื่อนๆจึงชอบแกล้ง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ แม่อาจจะไม่รู้ในความเข้มแข็งส่วนนี้


และนี่ก็เป็นสิ่งพิสูจน์


ให้พ่อเค้าออกรถให้ซักคันมั้ย ไปไหนจะได้สะดวก” 
เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล ลูกชายยังคงเงียบ และไม่มีที่ท่าจะยอม จึงยื่นข้อเสนอใหม่
มีรถก็ไม่สะดวกหรอกครับ ..ผมไม่ชิน” 
บยองฮอนขยับตัวโอบจากด้านหลังเมื่อเห็นสีหน้านั้นดูไม่สบายใจ เขาอยากให้แม่หมดห่วง เลิกเป็นกังวลกับเรื่องเก่าๆ เขาโตพอที่จะดูแลไม่ให้ใครมารังแกได้อีก
อพาร์ทเมนต์ของป้าก็สะดวกสบายดี ป้าคงไม่ปล่อยให้ผมหิวหรอกฮะ” 
บยองฮอนบรรจงหอมแก้มฟอดใหญ่ เป็นการเอาใจให้แม่เย็นใจลง ซึ่งคนเป็นแม่ก็ได้แต่อ่อนใจ


ครอบครัวของบยองฮอนตัดสินใจขายคอนโดฯที่โซล แล้วหาบ้านชานเมืองอยู่แทน เพราะมันจะเป็นการดีกับยูจอง ที่ต้องพักฟื้นหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ โชคดีที่ร่างกายของเธอไม่ต่อต้านหัวใจที่ได้รับบริจาค และอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากอาการป่วยครั้งนี้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตอยู่พอสมควร


พ่อของเขาที่เคยถูกส่งไปทำงานสาขาอเมริกา หลังจากลาออกเพราะไม่พอใจกับการบริหารงานของบริษัท ก็หันมาลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนที่ฮ่องกง กิจการเป็นไปด้วยดี แต่ก็ต้องบินไปมาระหว่างฮ่องกงบ่อยๆ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน ยูจองที่ต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพราะอาการป่วย และแม่ที่ยังคงเป็นแม่บ้าน จะมีงานพิเศษเป็นการทำขนมส่งตามร้านกาแฟหรือมินิมาร์ทแถวคอนโดฯบ้างแก้เหงา ส่วนบยองฮอนนอกจากจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในโซลกับงานพาร์ทไทม์เล่นดนตรีตามผับหรือแล้วแต่จะมีคนจ้างตามงานต่างๆแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆจะอยู่คอนโดฯหลังใหญ่ขนาดนั้น ถ้าย้ายมาอยู่นอกเมือง ยูจองก็จะได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น แม่ก็จะได้ไม่เหงามีเพื่อนบ้านแถมยังทำขนมได้เยอะกว่าเดิม ซึ่งมันดีกว่าสังคมในเมืองมาก

.

.

.

ผมจอดรถไว้ที่นี่ละกันนะครับ เผื่อแม่มีอะไรจะได้ใช้รถ”  บยองฮอนปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนเดินลงไปเปิดกระโปรงหลังรถ หยิบกระเป๋ากีตาร์ขึ้นมาสะพาย รวมถึงข้าวของหลายถุงที่แม่ตั้งใจซื้อมาฝากเหล่าหมอและพยาบาล

มาแล้ว...!!  ทั้งเสียงคน เสียงถุงของฝาก ดังก้องห้องพักคนป่วย
เสียงดังอีกและพี่เนี่ยะ เป็นคนป่ารึไง”  ยูจองแหวใส่
จะเอามั้ยน่ะ ขนม”  บยองฮอนยืนแขนท้าวสะเอวอย่างยียวน
ยูจองรีบกระโจนขว้าถุงเข้าหาตัวทันที
เอ้าๆ เบาๆสิตัวแสบ เดี๋ยวก็เจ็บแผลหรอก!”  
หนูกลัวอดกินขนมมากกว่า พี่ยิ่งขี้หวงอยู่ด้วย”  ยูจองปั้นหน้าล้อเลียนพี่ชาย
พอจะได้ออกจากโรงพยาบาลละปากดีเหมือนเดิมเลยนะ”   บยองฮอนทำปากขมุบขมิบล้อเลียนเป็นการเอาคืน ก่อนเดินเลี่ยงไปช่วยแม่จัดข้าวของ
พรุ่งนี้มารับแม่กับน้องซักสิบโมงก็ได้นะ ตื่นไหวมั้ย”  คนเป็นแม่เอ่ยถามลูกชายที่เดินเข้ามาหา
สบายครับ แต่ถ้าแม่โทรปลุกผมหน่อยนะ ฮ่าๆ”  ท่าฉีกยิ้มจนตาปิด เป็นท่าประจำเวลาบยองฮอนอยากทำตัวน่ารักขึ้นมา
คนเป็นแม่ห่อไหล่ลง มองหน้าลูกชายอย่างถอดใจ
แบบนี้ถ้าอยู่คนเดียว แม่ไม่ต้องโทรปลุกเวลามีเรียนเช้าด้วยเหรอ บยองฮอน


...เอาอีกแล้ว คุณแม่สุดที่รัก


ไม่หรอกครับ ผมให้เพื่อนโทรปลุกแทน ฮ่าๆ”   แขนที่โอบ ถูกตีเบาๆด้วยความหมั่นไส้ และเป็นอีกครั้งที่เห็นลูกชายหาวหวอด
ฮอนนี่ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะทำงาน หลับซักตื่นนึงดีมั้ย เดี๋ยวแม่ปลุก
ก็ดีนะฮะ คืนนี้ก็ดึกอีก”  ว่าพลางก็เดินพาตัวเองไปพาดยาวตรงโซฟาใกล้เตียงคนป่วย เขาก็อยากจะพักซักนิดเหมือนกัน

ทิ้งอีกคนที่ยังคงมองตามลูกชาย ใจก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ใครๆอาจจะมองว่าลูกชายเธอเป็นคนโผงผาง พูดจาอะไร ทำอะไรตรงๆ แต่สำหรับเธอ

บยองฮอนเป็นเด็กที่เก็บความรู้สึก

ในบางท่าที คนเป็นแม่อย่างเธอไม่รู้เลยว่าลูกชายคิดอะไร เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอแทบเป็นบ้า จนไม่อยากปล่อยลูกให้คลาดสายตาอีก และมันคงทำให้เขาอึดอัด

เธอรู้ว่าลูกชายเข้าใจความรู้สึกนั้นของเธอดี จึงไม่พยายามที่จะทำให้เธอยิ่งเป็นกังวล

ในท่าทีเมินเฉยนั้น กลับเป็นคนสนใจความรู้สึกคนรอบข้าง ยิ่งบอกว่าไม่เป็นไร..ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง

สมัยบยองฮอนยังเล็กแค่หกล้มเข่าถลอก ก็ต้องวิ่งร้องไห้มาหา แต่หลังจากวันนั้น ต่อให้ล้มสเก็ตบอร์ด หรือตกบันไดแขนหัก ก็ยังไม่มีน้ำตาซักนิด เธอคิดว่าลูกของเธอคงต้องการบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กขี้แยคนเดิมอีกแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่เอาแต่ร้องไห้แล้วก็ยืนหลบหลังแม่อีกต่อไป

รวมทั้งการทำงานพาร์ทไทม์นี้ด้วย ทั้งๆที่ลูกชายของเธอไม่จำเป็นต้องทำงานหาเงินก็ได้ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีปัญญาเลี้ยงดูลูกๆทั้งสองได้อย่างสุขสบาย

เรียนถึงมหาลัยแล้ว ถ้าเอาแต่ขอเงินเพื่อนก็ล้อผมแย่สิฮะ  นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าตัวรบเร้าขอทำงาน ซึ่งเธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่ รวมถึงการขอแยกออกไปอยู่คนเดียว แน่นอนเรื่องหลังเธอยืนกรานไม่ยอม ถึงคนเป็นพ่อจะเห็นด้วยกับลูกชายแต่ก็ค้านอะไรไม่ได้ จนกระทั้งครั้งนี้ ที่สุขภาพของยูจองก็สำคัญ ..เธอจึงไม่มีทางเลือก


บยองฮอนก็เหมือนนกที่ถูกเลี้ยงในกรงมาตลอดเวลา แต่เพียงแค่เห็นท้องฟ้ากว้าง เห็นปุยเมฆ ปีกที่เคยแค่ขยับเพียงนิดในกรง ก็คิดอยากจะบินหนี อยากออกไปเรียนรู้

.

.

.

ฮอนนี่ ตื่นไหวมั้ย หยุดซักวันมั้ยลูก”   คนเป็นแม่เขย่าตัวลูกชายเบาๆ เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควร
บยองฮอนค่อยๆลืมตาอย่างงัวเงีย บิดขี้เกียจเรียกความกระปรี้กระเปร่า ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู
อ๊ะ!..ผมจะสายแล้ว”   บยองฮอนกระเด้งตัวจากโซฟาทันที เมื่อรู้ตัวว่าใช้เวลาในการนอนมากเกินไป
โทษทีนะ แม่เห็นว่าเรากำลังหลับสบาย เลยไม่อยากปลุก
กรนเสียงดังด้วยเหอะ”  เสียงยูจองสมทบ  
ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อปากต่อคำ บยองฮอนเพียงแค่ชำเลืองมองน้องสาวตัวแสบ ก่อนหันมาส่งยิ้มให้แม่แทนคำพูด ก่อนรีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาทันที
เอาอะไรติดตัวไปกินมั้ยลูก เดี๋ยวแม่ทำให้ เผื่อดึกๆจะหิว”  แม่ของเขาตะโกนไล่หลังลูกชายในห้องน้ำ
ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่ทันแล้ว”   บยองฮอนเดินเร็วออกมาจากห้องน้ำ หยิบเสื้อโค้ทที่พาดตรงโซฟาขึ้นสวมทันที ยกกระเป๋ากีต้าร์ขึ้นสะพายหลัง ก่อนเดินยิ้มเข้าไปหอมแก้มแม่อีกหนึ่งฟอดใหญ่
เดี๋ยวพี่! หนูฝากอันนี้ให้พี่คนนั้นหน่อยสิ”  ยูจองยื่นถุงกระดาษใบเล็กส่งมาทางเขา
ให้ใคร?”  บยองฮอนหยุดเท้าหันมาถามน้องสาว
ก็พี่คนที่ให้ซีดีมาไง หนูอยากขอบคุณเค้า”   ยูจองค่อยๆลงจากเตียงคนป่วย จับถุงยัดใส่มือคนที่ยืนนิ่งอยู่


...จริงสิ ลืมไปเลย


ตั้งแต่วันผ่าตัด จนกระทั่งวันที่ไปดูบ้านใหม่ เขาก็มัวแต่วุ่นช่วยแม่ทำโน่นนี่แทนพ่อ จนลืมเรื่องสำคัญนี้ไป

ขอบใจนะยูจอง ไว้พี่จะเอาไปให้เค้านะ”  บยองฮอนขยี้หัวน้องสาวอย่างอารมณ์ดี
ผมไปนะครับ”  ไม่ลืมที่จะหันมาโค้งให้แม่ก่อนรีบเดินออกไป

...

แล้วพี่เค้าจะขอบคุณหนูทำไม ไม่ได้ให้เค้าซะหน่อย”  ยูจองหันมาถามคนเป็นแม่ แต่ก็ไม่มีคำตอบนอกจากอาการส่ายหัวน้อยๆ

.

.

.


เมื่อจ้องมองเหล่านกที่กำลังบินขึ้นไป
ฉันเองก็อยากจะบินตามไปด้วย
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามนี้
ฉันก็อยากตามไปอย่างอิสระด้วยเช่นกัน


บยองฮอนกระชับสายกระเป๋ากีต้าร์ รีบเดินขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดิน เสียงจากเฮดโฟนเป็นเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา ด้วยทำนองและเนื้อหาถูกใจเขาไม่น้อย ปกติเขาและเพื่อนๆในวงจะเล่นเพลงสากลซะส่วนใหญ่ นี่คงเป็นเพลงเกาหลีในไม่กี่เพลงที่เขาเลือกมาเล่น

เอ๊ะ?”  

เพราะมัวแต่เพลินอยู่กับคอร์ดเพลงใหม่ที่ต้องเล่นวันนี้ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาโผล่ผิดทางซะแล้ว สองขากึ่งวิ่งกึ่งเดินพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือครั้ง ยังดีที่เขาคุ้นเคยกับย่านนี้ ก็แค่เดินย้อนกลับไป ที่น่าหงุดหงิดคือพอยิ่งรีบก็ยิ่งช้า

เสียงเมโลดี้จากสมาร์ทโฟนดังขึ้น
อ่อ กำลังไปเหมือนกัน พอดีชั้น..”  บยองฮอนตอบกลับไปในสาย พอดีกับสายตาที่บังเอิญมองเข้าไปในซอยถนนที่กำลังเดินผ่าน เขาจำป้ายไฟหน้าร้านนั้นได้


...มันเปิดอยู่


บยองฮอนก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง สองขาหยุดชะงัก


พอดีชั้นจะไปทำธุระให้ยูจองนิดหน่อย เอ่อ.. คงไปช้านิดนึงนะ ..ไม่ได้ นายก็รู้จักยัยเด็กแสบนั่นดีนี่ เจอกันที่ร้านนะ อืม” 
บยองฮอนกดวางสาย จับสมาร์ทโฟนสีขาวลงกระเป๋าเสื้อโค๊ททันที ก่อนจะหันเท้าก้าวเข้าซอย เดินตรงไปหาป้ายไฟที่กำลังส่องสว่างอยู่




-TBC-







Fly 날개를 펼쳐봐 하늘만 바라봐
용기   있다면    있어
 날아가는 새들 바라보며
나도 따라 날아가고 싶어
파란하늘 아래서 자유롭게
나도 따라 가고 싶어

Fly มาลองกางปีกออกให้กว้าง มองแต่ท้องฟ้าเท่านั้นก็พอ
เมื่อไหร่ที่ดึงความกล้าหาญออกมาได้ คุณก็จะทำได้สำเร็จ
เมื่อจ้องมองเหล่านกที่กำลังบินขึ้นไป
ฉันเองก็อยากจะบินตามไปด้วย
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามนี้
ฉันก็อยากตามไปอย่างอิสระด้วยเช่นกัน








คุยๆ: เนื่องจากเห็นน้องชางเต้น Butterfly ของ Jason Mraz แล้วเพลงท่าเต้น One In A Million ของ Ne-Yo ก็ผุดขึ้นมาเลย ถ้าน้องเต้นเพลงนี้ก็คงน่ารัก อยากให้ดู MV ไปด้วย มโนน้องเต้นไปด้วย ^-^





1 comments:

  1. รู้สึกเหงาไปกับเหตุผลของการรักเสียงเพลงของชานฮีมากเลยค่ะ บางสิ่งบางอย่างอาจเหมือนว่าจะทดแทนได้แต่มันก็ไม่ได้ แม้ฟังเพลงมากเท่าไรแต่มันก็ไม่ใช่เสียงที่เราอยากจะได้ยินที่สุดอยู่ดี ชานฮีกับแม่มีความหลังอะอะไรกันทำไมถึงได้ทำให้หัวใจชานฮีเว้าแหว่งได้เพียงนี้


    ReplyDelete